|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
พีบีแอร์ ได้สิทธิบินตรง ประเทศจีน อีก 2 สาย กรุงเทพ-เซียงไฮ้ และ กรุงเทพ-ปักกิ่ง หลังประสบความสำเร็จเส้นทางบินสู่เกาะไหหลำ ด้านนักท่องเที่ยวยังคงหลั่งไหลเยี่ยมชมธรรมชาติและความยิ่งใหญ่ของจีน ขณะที่ "กงสุลไทย" แนะกลยุทธ์ลงทุนในจีน ธุรกิจใดน่าสนใจที่สุด
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 สายการบิน พีบีแอร์ ได้สิทธิบินตรงเข้าประเทศจีนอีก 2 เส้นทาง คือกรุงเทพ-เซียงไฮ้และกรุงเทพ-ปักกิ่ง หลังประสบความสำเร็จจากการเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-ไหโข่ว และซันญ่า มณฑลไหหลำ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2547 ที่ผ่านมา
กัปตันโยธิน ภมรมนตรี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทพี บี แอร์ กล่าวว่า พีบีแอร์ได้ทำการศึกษาศักยภาพของการเปิดเส้นทางการบินเข้าประเทศจีน มาอย่างต่อเนื่อง พบว่า จีนเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจมาก อีกทั้งจำนวนเที่ยวบิน รวมถึงจำนวนที่นั่งที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ หากพีบีแอร์จะเปิดสายการบินตรงกรุงเทพ-เซียงไฮ้ และกรุงเทพ-ปักกิ่ง ย่อมจะเป็นทางเลือกหนึ่งให้คนจีน และคนไทย ได้ใช้บริการ ทั้งในด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจการค้า หรือการติดต่อไปมาระหว่างกันได้สะดวกขึ้น
ดังนั้นพีบีแอร์ จึงได้ติดต่อประสานงานและได้รับอนุญาตทำการบินจากรัฐบาลจีนเมื่อต้นปี 2547 โดยได้เซ็นสัญญาเช่าเครื่องบินโบอิ้ง 767-300 ซึ่งเป็นเครื่องบินแบบประหยัดแต่เน้นความสะดวกสบายมาให้บริการในเที่ยวบินนี้ด้วย
พีบีแอร์ มีจุดแข็งที่จะสามารถดึงดูดให้ผู้โดยสารมาใช้บริการได้ ประกอบด้วย 1.เวลาในการทำการบิน นอกจากจะมีเที่ยวบินทุกวันแล้ว ยังได้เวลาที่ถือว่าดีที่สุด คือบินจากกรุงเทพ เวลา 07.00 น ถึง เซียงไฮ้ประมาณ 12.00 น.และออกจากเซียงไฮ้ประมาณ 14.00 น. มาถึงกรุงเทพฯประมาณ 18.00 น.
" ตารางการบินของพีบีแอร์ ถือว่าดีมาก ๆ ทำให้ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการพักค้างคืนมากขึ้น ส่วนสายการบินอื่นมักจะมาถึงตอนเย็น หรือไม่ก็ดึก เช่นการบินไทย หรือสายการบิน MU" เพ็ญศรี วรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลเด็นไซน์ เทรเวิล เซอร์วิส จำกัด และ อนันชัย อัศววิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัทกรุงไทยบริการท่องเที่ยว จำกัด กล่าวในโอกาสเดินทางเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์กรุงเทพ-เซียงไฮ้ เมื่อวันที่ 1-3 เม.ย.ที่ผ่านมา
2.ราคาตั๋วโดยสาร พีบีแอร์ จะถูกกว่า เมื่อเทียบ ชั้นประหยัดของการบินไทยประมาณ 13,000 บาท ขณะที่ MU แม้จะอยู่ที่ 9,000 บาท แต่เมื่อมาเทียบกับ พีบีแอร์ ซึ่งค่าตั๋วประมาณ 10,500 บาท แต่เรื่องการบริการจะใกล้เคียงการบินไทย ส่วนในชั้นธุรกิจ การบินไทยจะอยู่ที่ประมาณ 23,000 บาท ขณะที่พีบีแอร์จะอยู่ที่ 18,000 บาท
3 ด้านการบริการ พีบีแอร์ เน้นเป็นเที่ยวบิน "แสนสบาย" ทั้งในเรื่องอุปกรณ์ภายในเครื่องบินที่มีความสะดวก ยังรวมไปถึงการบริการที่ บริษัททัวร์ที่ร่วมคณะเปิดเที่ยวบินต่างย่อมรับว่าการบริการของโฮสเตทบนเครื่องบินจะเป็นจุดขายที่สำคัญ เพราะต่างให้ความใส่ใจในเรื่องการบริการตั้งแต่ขึ้นเครื่อง กระทั่งลงเครื่อง
"เที่ยวบินนี้บรรจุผู้โดยสารเต็ม 350 ที่นั่ง แต่ผู้โดยสารจะรู้สึกอึดอัด เราจะกำหนดไว้ที่270 ที่นั่ง โดยในช่วงกลางที่มีจำนวน 3 ที่นั่ง เราจะให้นั่งเว้น 1ที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารสบายตลอดการเดินทาง แต่เป้าหมายของเราขอเพียง245 ที่นั่ง ก็พอ หรือจะบอกว่า หากพีบีแอร์ ได้ผู้โดยสารเพียง 1% ของจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในเซียงไฮ้ที่มีถึง 14 ล้านคน พีบีแอร์ ก็จะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว" กัปตัน โยธิน ระบุ
4.ด้านโครงสร้างการบริหารหากพบอุปสรรคใด ๆ พีบีแอร์ พร้อมปรับเปลี่ยนและแก้ไขได้ทันทีโดยไม่ต้องรอขออนุมัติบอร์ด แต่ละชั้น จนเป็นเหตุให้การแก้ไขล่าช้า
กัปตันโยธิน กล่าวว่า เป้าหมายในเรื่องรายได้ของพีบีแอร์ ทั้งเที่ยวบินเซียงไฮ้และปักกิ่ง เฉลี่ยประมาณเดือนละ 150 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะมาจากทั้ง จำนวนผู้โดยสารและในส่วนของคาร์โก้
ด้าน อนุสนธิ์ ชินวรรโณ กงสุลใหญ่ ณ .นครเซียงไฮ้ แขกคนสำคัญที่เข้าร่วมงานแถลงเปิดตัวสายการบินพีบีแอร์ เที่ยวบินกรุงเทพ-เซียงไฮ้ ที่โรมแรมGrand Peace Hotel นครเซียงไฮ้ กล่าวว่า ตลาดการบินจีนเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะจีนกำลังพัฒนาไปในทุก ๆ พื้นที่ เนื่องจากรัฐบาลจีนมีนโยบายในการเปิดประเทศ ดังนั้นพื้นที่ใดที่มีความเจริญแล้ว ก็จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับเมือง หรือมณฑลที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา และต่อไปการท่องเที่ยวหรือการค้า การลงทุนก็จะตามมา ปัจจุบันคนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ก็มาลงทุนในจีน รวมไปถึงนักธุรกิจไทยด้วย
สำหรับธุรกิจของไทยที่มาลงทุน ส่วนใหญ่จะเป็นเครือซีพี ที่กระจายไปหลายเมือง ตั้งแต่ปี 1979 มีทั้งด้านการเกษตร การผลิตรถจักรยานยนต์ ห้างสรรพสินค้า "ซุปเปอร์ มอลล์" ในเซียงไฮ้ เป็นต้น นอกจากนี้ ก็มีกลุ่มสหยูเนียน ที่มาลงทุนด้านสร้างโรงไฟฟ้า กว่า 10 แห่ง ส่วนรายย่อย ๆ จะพบน้อยมาก
"ด้านการค้าไทย-จีน ปีนี้จะอยู่ในลักษณะสมดุลย คือมีการนำเข้า และส่งออกประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่า ๆกัน"
กงสุลใหญ่ ณ .นครเซียงไฮ้ ระบุด้วยว่า การจะเข้ามาลงทุนในจีนไปได้ง่าย และไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จตามที่หลาย ๆ คนวาดฝัน ว่าจำนวนพลเมืองจีนทีมีมหาศาลกว่า 1,400 ล้านคน จะสามารถลงทุนหรือทำการค้าอะไรก็ได้ แต่ในข้อเท็จจริง แม้จีนจะอยู่ใน WTO ที่จะต้องมีการเปิดเสรีภาคสินค้าแลภาคบริการ แต่จีนก็มีการกำหนดชัดเจนว่าสินค้าหรือบริการประเภทใดที่จีนต้องการจะให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าในประเทศจีนได้บ้าง แต่ถ้าสินค้าใดที่จีนไม่ต้องการหากเข้ามาลงทุนโอกาสที่จะพับฐาน กลับไปย่อมเกิดขึ้นได้
"จีนต้องการการลงทุนด้าน ไฮเทคมาก ๆ ด้านคอมพิวเตอร์ การผลิตรถยนต์ ซึ่งประเภทนี้นักธุรกิจไทย ยังเข้าไม่ถึง หรือยังไม่มีความพร้อม จะทำได้ก็เพียงการลงทุนหรือการค้า ด้านชิ้นส่วนหรืออะไหล่ เท่านั้น"
นอกจากนี้แม้จีนจะมีการพัฒนาหรือการขยายเมืองเพิ่ม แต่การจะมาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองต่าง ๆก็ต้องมีความระมัดระวัง เพราะที่ดินในจีน ทั้งหมดเป็นที่เช่า หากนักลงทุนไทย เข้ามาก็ต้องมาร่วมทุนกับนักลงทุนจีน ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนจีนก็จะลงทุนในเรื่องของที่ดิน ส่วนเงินทุนต้องเป็นของฝ่ายไทย
"ฟังอย่างนี้เหมือนจะง่ายถ้าเราไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดี เพราะที่ดินของเขาถ้าระบุว่าไว้ใช้เพื่ออะไร ก็ต้องทำสิ่งนั้น จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นใช้เพื่อทำอุตสาหกรรม หรือการเกษตร จะมาสร้างคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยไม่ได้ และจีนจะกำหนดชัดว่า ที่ดินแปลงนี้จะสร้างพื้นที่อาคารได้ในอัตราส่วนเท่าไหร่ของที่ดิน ตรงนี้แหละจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการลงทุนและเกิดมีการฟ้องร้องกันขึ้น"
กงสุลใหญ่ ณ นครเซียงไฮ้ แนะนำว่า หากใครคิดจะมาทำการค้า หรือการลงทุน จะต้องศึกษาให้รอบคอบในทุกด้าน ไม่ว่าจะเรื่องกฎระเบียบ ทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่นที่จะไปลงทุน รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลกลางและนโยบายของแต่ละมณฑล หากมีข้อมูลมาแล้วว่าจะทำธุรกิจอะไร อย่างไร หากต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามยังสถานกงสุลได้
"ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่มาบอกว่าต้องการมาลงทุนในจีน จะลงทุนอะไรดี อันนี้ก็ถือว่า จบกัน เพราะหากธุรกิจใด ที่จะมาทำการค้า การลงทุน ผู้ลงทุนยังไม่มีความรู้ ความชำนาญ ในเบื้องต้น โอกาสที่เกิดขึ้นหรือประสบความสำเร็จเป็นไปได้ยาก" กงสุลใหญ่ ณ นครเซียงไฮ้ กล่าว
|
|
|
|
|