Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน22 สิงหาคม 2548
"ช้าง-สิงห์" เปิดศึกโฆษณาชวนเชื่อฝ่ามรสุม"ตลาดหุ้น-ภาษี"หาอนาคต             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด

   
search resources

บุญรอดบริวเวอรี่, บจก.
ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.
Alcohol




ศึกโฆษณาชวนเชื่อระอุตลาดเบียร์ "ช้าง-สิงห์" แลกหมัดโชว์ข้อมูลลงสื่อแสดงจุดยืน พร้อมอิงผลประโยชน์ทางธุรกิจ คนวงการ "เอเยนซี" เตือนประชาชนต้องมีวิจารญาณ "บุญรอดฯ" เปิดประเด็นลงประกาศหนังสือพิมพ์ ยิงยาวทั้งสัปดาห์ หนุนเก็บภาษีตามความแรงดีกรี แถมชงสูตรใหม่เพิ่มจาก 550 บาทเป็น 700 บาท หลังแววข่าวลือกรมสรรพสามิตเตรียมใช้ระบบเดิม "ไทยเบฟฯ" แก้เกมจูบปากสรรพสามิต สนับ สนุนอีเวนต์ พร้อมอัดโฆษณาโต้จำลองเข้าตลาด หลักทรัพย์ฯ

แหล่งข่าวบริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์สิงห์ ลีโอ และไทเบียร์ เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคมที่ผ่านมานี้บริษัทได้ใช้งบ 2 ล้านบาท ลงประกาศทางหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ อาทิ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ผู้จัดการ เนชั่น ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงจุดยืนของบริษัทเกี่ยวกับนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีของภาครัฐ โดยบุญรอดฯสนับสนุนวิธีปรับภาษีโดยคำนวณตามความแรงของดีกรีแอลกอฮอล์ เพราะล่าสุดมีกระแสข่าวว่า กรมสรรพสามิตจะเก็บภาษีในรูปแบบเดิม คือ ตามต้นทุนโรงงาน

บริษัทจึงได้นำโฆษณาดังกล่าวลงสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูล 2 ด้าน ขณะเดียวกันเป็นการสะท้อนผ่านภาครัฐไปในตัวด้วย โดยมีข้อความว่า "เพิ่มการเก็บภาษีสุราตามความแรงของดีกรีแอลกอฮอล์เพื่อสังคมไทยดีขึ้น คนไทยสุขภาพดีขึ้น" จากปัจจุบันปริมาณ การบริโภคสุราของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น มาตรการที่ออกมาเพื่อควบคุมและลดการบริโภคสุรานับเป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งแนวทางการจัดเก็บภาษีสุราของกรมสรรพสามิต ก็ควรจะพิจารณาในมุมมองที่ยึดถือประโยชน์สูงสุดของสังคม เป็นหลัก และใช้ระบบการจัดเก็บภาษีให้มีผลไปลดหรือควบคุมการบริโภคสุรา

จากนั้นมีข้อความต่อว่า การเก็บภาษีสุราตาม ความแรงของดีกรีแอลกอฮอล์ยึดหลักว่า สุราที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงมีฤทธิ์ทำลายสุขภาพมากต้องเสียภาษีมาก จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดปริมาณ การบริโภคสุราของสังคมไทยได้ จึงควรเพิ่มอัตราภาษีที่จัดเก็บตามความแรงของดีกรีแอลกอฮอล์ให้สูงขึ้นอย่างน้อยเป็น 700 บาทต่อลิตร แห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ จากเดิมที่กรมสรรพสามิต กำหนดไว้สำหรับสุราแช่ (เบียร์) แค่ 100 บาทต่อลิตร แห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เป็นต้น

ชงสูตรใหม่จาก 550 บาท เป็น 700 บาท

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ได้เสนอร่างโครงสร้างการจัดเก็บ ภาษีตามปริมาณดีกรีเพื่อให้ภาครัฐพิจารณา โดยให้คิดตามปริมาณดีกรี 550 บาทต่อลิตรแห่ง แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือภาษี 1 ลิตร 100 ดีกรี เท่ากับ 550 บาท ดังนั้น 1 ลิตร มี 6 ดีกรี เท่ากับ 33 บาท แต่ถ้า 0.630 ลิตร 6 ดีกรี เท่ากับรัฐจะเก็บ ภาษีตามปริมาณดีกรี ได้ภาษีขวดละ 20.79 บาท

จากก่อนนี้รูปแบบการจัดเก็บภาษีตามปริมาณ ดีกรีซึ่งประเทศไทยมี แต่ภาครัฐไม่ได้นำมาใช้ เนื่องจากเป็นวิธีการจัดเก็บภาษีได้ในปริมาณที่ต่ำคือ แค่ 3.78 บาท โดยคิดอัตราภาษี 1 ลิตร 100 ดีกรี เท่ากับ 100 บาท ดังนั้น 1 ลิตร 6 ดีกรี เท่ากับ 6 บาท ทำให้ที่ผ่านมาภาครัฐเลือกจัดเก็บภาษีตามมูลค่าร้อยละ 55 ดังนั้นภาษีสุราขวดละ 36.95 X 0.55 เท่ากับ 20.3225 บาท คือ ภาษีที่ภาครัฐได้เมื่อคิดตามมูลค่าในปัจจุบัน

โดยสูตรที่บริษัทบุญรอดฯเสนอเพิ่มเป็น 550 บาท ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ภาครัฐจะมีรายได้เพิ่มเพียงไม่กี่สตางค์ ทำให้โฆษณาดังกล่าวเป็นการชงร่างโครงสร้างภาษีใหม่ โดยยื่นข้อเสนอให้กับภาครัฐเพิ่มอีก 200 บาท หรือ เป็น 700 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้ภาครัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น

แหล่งข่าวบริษัทบุญรอดฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะนี้มีมานาน แล้ว แต่เป็นการนำมาใช้เพื่อต่อสู้ เพื่อเป็นการกระจายความคิดไปสู่สาธารณชน ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่า ผู้ที่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจะมีวิจารญาณอย่างไร แต่ที่บุญรอดฯทำ ก็เพื่อปกป้องตัวเองและแสดงจุดยืนองค์กร ซึ่งการเก็บภาษีตามต้นทุนโรงงาน ในระยะสั้นผู้ประกอบการไทยจะได้ผลประโยชน์ แต่ในระยะยาวไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการเปิดเสรีทางการค้าอาฟตา และนาฟตา ซึ่งจะทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากจีนเข้ามาตีตลาดในไทยโดยใช้กลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าได้ง่ายขึ้น

ไทยเบฟฯจูบปากสรรพสามิตจัดอีเวนต์

แหล่งข่าววงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ล่าสุดเปิดกลยุทธ์ ด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานราชการ ภายใต้น้ำดื่มตราช้างเป็นผู้สนับสนุนโครงการของกรมสรรพสามิต "เยาวชนไทยร่วมใจไม่สูบบุหรี่" ประกวดเรียงความ วาดภาพและออกแบบเสื้อ โดยให้งบสนับสนุนกว่า 1 ล้านบาท หลังจากก่อน หน้านี้แนวทางของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เตรียมปรับโครงสร้างภาษี โดยใช้วิธีคำนวณตามความแรงดีกรีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ล่าสุดกระแสข่าวมาว่ากรมสรรพสามิตจะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรูปแบบเดิม คือ ตามต้นทุนโรงงาน
ช้างผุดโฆษณาชวนเชื่อโต้ "จำลอง"

ขณะเดียวกัน ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เจ้าของ "เบียร์ช้าง" ได้ลงประกาศทางหน้าหนังสือพิมพ์ โดยมีข้อความโฆษณาว่า มีบริษัทในเครือ 48 บริษัท มีทุนจดทะเบียน 29,000 ล้านบาท มีพนักงานรวมทั้งสิ้น 19,000 คน มีตราสินค้าต่างๆ เช่น แม่โขง แสงโสม เบียร์ช้าง เบียร์อาชา น้ำดื่มตราช้าง ฯลฯ ตลอดจนความรับผิดชอบต่อสังคมของไทยเบฟฯในด้านต่างๆ เช่น ส่งเสริมการศึกษา โครงการต้านภัยหนาว โดยแจกผ้าห่มปีละ 200,000 ผืน และล่าสุดการทำประชาสัมพันธ์ผ่านการ ซื้อสื่อครั้งต่อไปบริษัท ทศภาค จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารลิขสิทธิ์ฟุตบอลรายการดังจากต่างประเทศ และยังเคยจัดถ่ายทอดฟุตบอลโลกโดยไม่มีโฆษณาคั่นระหว่างรายการอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโต้ หลังจากก่อนหน้านี้พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ ได้ประกาศที่จะลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเพื่อคัดค้านธุรกิจน้ำเมาในการเข้าตลาดหุ้น

เตือนประชาชนต้องมีวิจารญาณ

นายวิทวัส ชัยปาณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทครีเอทีฟ จูซ\จีวัน จำกัด เปิดเผยถึงการทำโฆษณาชวนเชื่อของ 3 กลุ่ม ประกอบด้วย เจริญ สิริวัฒนภักดี, สันติ ภิรมย์ภักดี และจำลอง ศรีเมืองว่า เป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลสองด้าน ขณะเดียวกันคนอ่านก็จะต้อง มีวิจารญาณว่าข้อมูลไหนที่เป็นจริงหรือเป็นการกล่าวอ้าง จากเดิมที่ผ่านมาประเด็นที่สาธารณะหรือเกี่ยวกับสังคมและประเทศชาติ ประชาชนมักจะได้รับข้อมูลเพียงมุมเดียวเท่านั้น และเชื่อว่าเทรนด์การใช้โฆษณาชวนเชื่อในลักษณะนี้จะมีมากขึ้น เพราะมีข้อดีตรงที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น มีข้อมูลหรือตัวเลขต่างๆ มา กล่าวอ้าง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us