Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์4 มีนาคม 2548
ข้อตกลงนานาชาติต่อต้านบุหรี่เริ่มบังคับใช้             
 


   
search resources

Health & Cuisine
องค์การอนามัยโลก




ข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับประวัติศาสตร์ ที่มุ่งจำกัดลดทอนการสูบบุหรี่ตลอดจนการเสพยาสูบอื่นๆ อันถือเป็นสนธิสัญญาเพื่อสุขภาพสาธารณชนฉบับแรกของโลก เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลของบรรดานักเคลื่อนไหวต่อต้านบุหรี่ซึ่งมองว่า แรงล็อบบี้ของพวกอุตสาหกรรมยาสูบ ตลอดจนการขาดแคลนทรัพยากร จะทำให้ไม่อาจบังคับใช้ข้อตกลงฉบับนี้อย่างได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย

องค์การอนามัยโลก(ฮู)แถลงว่า สนธิสัญญาฉบับนี้อันมีชื่อเป็นทางการว่า อนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (Framework Convention on Tobacco Control) และมีสมาชิกฮู 192 ชาติให้การรับรองในการประชุมเมื่อปี 2003 จะสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับล้านๆ เนื่องจากยาสูบเป็นสาเหตุใหญ่อันดับสองของการตายซึ่งเกิดขึ้นในทั่วโลกเวลานี้ โดยคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบปีละ 5 ล้านคน และหากแนวโน้มยังเป็นเช่นในปัจจุบันแล้ว จำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2020 โดยที่ 70% เป็นผู้เสียชีวิตที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา

อนุสัญญาแม่บทว่าด้วยการควบคุมยาสูบ มีผลบังคับใช้ภายหลังมีชาติต่างๆ ให้สัตยาบันครบตามเกณฑ์ 57 ประเทศ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน 2,300 ล้านคน เนื้อหาของข้อตกลงฉบับนี้กำหนดให้รัฐบาลประเทศที่ยอมรับปฏิบัติตาม ต้องห้ามหรือจำกัดอย่างเข้มงวดต่อการโฆษณา การโปรโมชั่น และการเป็นผู้อุปถัมภ์กิจกรรมต่างๆ ของพวกบริษัทบุหรี่ทั้งหลาย, บังคับให้บริษัทบุหรี่ต้องระบุคำเตือนถึงอันตรายต่อสุขภาพอย่างชัดเจนบนซองบุหรี่, ตลอดจนห้ามใช้ถ้อยคำซึ่งชวนให้เข้าใจผิด เช่น การระบุว่าเป็นบุหรี่แบบ "ไลต์" หรือ "ไมลด์"

นอกจากนั้น ข้อตกลงนี้ยังมีมาตราซึ่งมุ่งหมายที่จะลดทอนการลักลอบขนบุหรี่เถื่อน, ป้องกันการขายบุหรี่ให้แก่เด็ก, การใช้มาตรการภาษีเพื่อทำให้บุหรี่มีราคาแพงขึ้น, และการคุ้มครองประชาชนจากการต้องถูกรมควันบุหรี่โดยมิได้สูบ หรือที่เรียกกันว่า กลายเป็น "ผู้สูบบุหรี่มือสอง"

ทว่าทางกลุ่มต่อต้านยาสูบ และเจ้าหน้าที่ของฮู พากันกล่าวหาอุตสาหกรรมบุหรี่ว่า นอกจากเที่ยวล็อบบี้คัดค้านข้อตกลงฉบับนี้ระหว่างที่ประเทศต่างๆ กำลังมีการเจรจาตกลงกันแล้ว เมื่อมันผ่านออกมาได้ ก็ยังพยายามต่อไปอีกที่จะชาติต่างๆ ชะลอการให้สัตยาบัน และหาทางทำให้กฎหมายของแต่ละประเทศซึ่งมุ่งบังคับใช้ข้อตกลงฉบับนี้ มีเนื้อหาที่อ่อนยวบลงกว่าเดิม

คอร์เพอเรต แอคเคาน์ทะบิลิที อินเตอร์เนชั่นแนล อันเป็นองค์การเอ็นจีโอแห่งหนึ่งในสหรัฐฯซึ่งมีบทบาทต่อต้านยาสูบอย่างแข็งขัน ระบุว่าพวกบริษัทบุหรี่ระดับแนวหน้า อาทิ ฟิลิป มอร์ริส (ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อว่าเป็น แอลเทรีย) , บริทิช อเมริกัน โทแบคโค (บีเอที) , และ แจแปน โทแบคโค อินเตอร์เนชั่นแนล ต่างกำลังใช้ลูกไม้สกปรกต่างๆ เพื่อทำให้สนธิสัญญาฉบับนี้ต้องหมดพลังไปในทางเป็นจริง

องค์การนี้อ้างว่า ปีที่แล้วบีเอทีจ่ายเงินนำสมาชิกรัฐสภาเคนยา 75 คนไปเที่ยวพักผ่อนชายหาดในช่วงสุดสัปดาห์ ด้วยความมุ่งหมายที่จะส่งอิทธิพลต่อการพิจารณาร่างกฎหมายควบคุมยาสูบของรัฐสภาแห่งนั้น

เวรา ดา คอสตา เอ ซิลวา ผู้อำนวยโครงการปลอดบุหรี่ของฮู ก็กล่าวหาพวกบริษัทยาสูบว่ากำลังปฏิบัติการเพื่อทำให้ประเทศต่างๆ ไม่ให้สัตยาบันแก่ข้อตกลงฉบับนี้ เธอยังได้ยกเอาบราซิลเป็นตัวอย่าง โดยที่อุตสาหกรรมบุหรี่กำลังระดมหาความสนับสนุนจากพวกเกษตรกรปลูกยาสูบที่มีอิทธิพลสูง

ความวิตกอีกอย่างหนึ่งของนักรณรงค์ต่อต้านบุหรี่คือ การที่ประชาคมระหว่างประเทศอาจหมดความสนใจประเด็นรณรงค์นี้ ตลอดจนการที่มีเงินทุนสำหรับการควบคุมยาสูบลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ต้องเผชิญกับอำนาจบารมีทางการเงินของอุตสาหกรรมในแวดวงนี้ ทั้งนี้เฉพาะรายรับของ 3 บริษัทยาสูบยักษ์ใหญ่ที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งเรียกกันว่า "บิ๊กทรี" ปรากฏว่าอยู่ในระดับ 150,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียวในปี 2003

ดีเรค ยาค ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐฯ และก่อนหน้านั้นเคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับท็อปของฮูซึ่งรับผิดชอบเรื่องการเจรจาทำข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์นี้ กล่าวว่าประเด็นปัญหาทางสุขภาพที่ถือว่ามีลำดับความสำคัญสูงประเด็นอื่นๆ อาทิ โรคเอดส์ กำลังผลักไสให้เรื่องยาสูบหลุดออกจากจอเรดาร์ และผู้บริจาครายใหญ่ๆ จำนวนมากก็ได้หยุดให้ความสนับสนุนเรื่องการควบคุมยาสูบกันแล้ว

เขาชี้ด้วยว่า เนื่องจากข้อตกลงนี้มีลักษณะเป็นอนุสัญญาแม่บท จึงยังต้องมีการออกข้อตกลงที่เป็นรายละเอียดเจาะจง ซึ่งเรียกกันว่าพิธีสารกันอีกหลายๆ ฉบับ เพราะ"อนุสัญญาแม่บทที่ไม่มีพิธีสารก็คือไร้เขี้ยวเล็บ" ทว่าขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรในเรื่องนี้เลย

ช่างผิดกับบริษัทยาสูบอย่างแอลเทรีย และบีเอที ซึ่งมีรายงานว่าได้ใช้งบประมาณไปกว่า 500 ล้านดอลลาร์แล้ว เพื่อวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาสูบอย่างใหม่ๆ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us