|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ภาคธุรกิจ 64.7% คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 2.5-3.5% เหตุน้ำมันแพงและเจอปัญหา เศรษฐกิจในประเทศ ชี้เศรษฐกิจจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 3 และจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาสที่ 4
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้มีการสำรวจการประเมินสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจ จากภาคธุรกิจ 600 รายทั่วประเทศ โดยพบว่าผู้ประกอบการ 64.7% ระบุว่าโอกาสที่เศรษฐกิจปี 2548 จะขยายตัว 2.5-3.5% เป็นไปได้สูง โดยในจำนวนนี้ 38.8% ระบุว่าจะขยายตัว 2.5-3.0% ขณะที่ 25.9% เห็นว่าจะขยายตัว 3.1-3.5% ขณะที่ปี 2549 ผู้ประกอบการ 62.1% ระบุว่าจะขยายตัว 3-4% โดย 34.3% ระบุว่าจะขยายตัว 3.-3.5% ขณะที่ 27.8% ระบุว่าจะขยายตัว 3.5-4%
สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง อันดับแรกยังเป็นปัญหาราคาน้ำมัน ทั้งเบนซินและดีเซล รองลงมา คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการค้า ความไม่สงบในภาคใต้และเหตุการณ์สึนามิที่ยังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ธุรกิจส่วนใหญ่ มองว่าเศรษฐกิจปีนี้อาจจะโต 2.5% สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจจะโตในระดับต่ำ และไม่ถึง 4% ตามที่ภาครัฐประมาณการไว้ เพราะภาคธุรกิจมองว่าภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาน้ำมันดีเซลน่าจะปรับขึ้นอีกลิตรละ 2 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4 อาจถึงบาร์เรลละ 70 เหรียญสหรัฐ
"ผลการสำรวจเห็นได้ชัดเจนว่า ช่วงไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย เพราะกำลังซื้อของประชาชนยังต่ำอยู่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง และจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 4 โดยนักธุรกิจคาดว่าสภาพธุรกิจ ยอดขาย หรือแม้แต่การจ้างแรงงานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การส่งออกที่จะขยายตัวดีขึ้น ดุล การค้าจะขาดดุลลดลง การเร่งเบิก จ่ายงบประมาณ และการปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้น" นายธนวรรธน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฯ ยังคงคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีจะอยู่ที่ 3.5-4% แต่มีโอกาสที่จะขยายตัวแค่ 3-3.5% โดยในไตรมาส 1 ขยายตัว 3.3% ไตรมาส 2 คาดว่าจะขยายตัว 3-3.2% ไตรมาส 3 คาดว่าจะขยาย ตัว 2.8-3% และไตรมาส 4 คาดว่าขยายตัว 4-4.2% ส่วนอัตราเงิน เฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับ 4-4.2% เนื่องจากภาคธุรกิจจะใช้กลยุทธ์ด้านราคาแข่งขันกันมากขึ้น โดย จะปรับราคาลดลงเพื่อกระตุ้นการบริโภค
นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลวงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท เห็นว่าควรจะลดวงเงินในการลงทุนลง เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องรายละเอียดในการลงทุน การระดมทุน วงเงินลงทุนในแต่ละโครงการ และแต่ละโครงการก็ยังไม่ ชัดว่าจะต้องมีการนำเข้าเครื่องจักร จากต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน
"วงเงินอาจจะไม่ใช่ประเด็น แต่การลดวงเงินเพื่อต้องการดูเรื่อง บัญชีเดินสะพัดว่ามีการนำเข้าเครื่องจักรแค่ไหน ในการลงทุนควรให้ความสำคัญว่าสร้างความเติบโตให้เศรษฐกิจแค่ไหน ควรเน้น โครงการที่ทำให้เศรษฐกิจโตได้ก่อน โดยเรียงลงลำดับการลงทุน เริ่มโครงการที่ใช้วัตถุดิบในประเทศก่อน หรือควรเน้นโครงการก่อสร้าง บนพื้นราบก่อนใต้ดิน เป็นต้น" นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวถึงการสำรวจพฤติกรรมการเลือกสื่อโฆษณาของภาคธุรกิจ ในภาวะที่กำลังซื้อของประชาชนชะลอตัวว่า ธุรกิจ 44.8% เลือกซื้อสื่อโทรทัศน์ เนื่องจากสัญญาณภาพชัดเจน มีผลต่อการกระตุ้นยอดขายมาก มีผู้ชมรายการมาก แม้ว่าอัตราค่าโฆษณาจะอยู่ในระดับสูง รองลงมาคือสื่อวิทยุ และอันดับสามคือหนังสือพิมพ์
สำหรับโทรทัศน์ที่ภาคธุรกิจต้องการโฆษณามากที่สุด เรียงตามลำดับ ได้แก่ ช่อง 7, ช่อง 3, ไอทีวี, ช่อง 5 ช่อง 11 และ ช่อง 9
|
|
|
|
|