ธนาคารกรุงไทยเตรียมเปิดสาขาธนาคารอิสลามเต็มรูปแบบทั่วประเทศ และเริ่มรุกบริการ
สินเชื่อประเภทต่างๆ มากขึ้น ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป โดยมั่นใจว่า หลักการของธนาคารอิสลามจะไม่ทำให้การทำธุรกิจเสียเปรียบธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
ยกตัวอย่างสินเชื่อที่อยู่อาศัย ผู้กู้จะมีภาระการชำระต่ำกว่าการกู้จากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
ด้านปล่อยกู้เอสเอ็มอีของธนาคาร 25,000 ยันไม่มีปัญหาพร้อมเดินหน้าเต็มลูกสูบ
นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ ประธานคณะกรรมการ ธนาคารอิสลาม ธนาคารกรุงไทย จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยเตรียมที่จะเปิดสาขาธนาคารอิสลามเต็มรูปแบบเพิ่มอีกภายในเดือนกันยายนนี้
2545 นี้จำนวน 3 แห่งคือที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และสงขลาหลังจากที่เมื่อเดือนกรฎาคมที่ผ่านมาได้เปิดสาขาแห่งแรกไปแล้ว
ที่จังหวัดนราธิวาส
และภายในปี 2546 จะสามารถ เปิดสาขาธนาคารอิสลามเพิ่มเป็น 34 สาขาเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
เพื่อที่จะให้ธนาคารอิสลามเป็นทางเลือกสำหรับประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้ถือศาสนาอิสลามหรือศาสนา
อื่นใดก็ตาม หากสามารถยอมรับเงื่อน ไขของธนาคารอิสลามก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้
นายธีรศักดิ์ กล่าวว่า นอกเหนือจากเปิดธนาคารอิสลามภายในประเทศแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังมีเป้าหมายที่จะเปิดให้บริการในต่างประเทศด้วยในอนาคต
ซึ่งขณะนี้วาง แผนว่าจะเปิดให้บริการในประเทศประเทศบาห์เรนและลักเซมเบิร์กซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายในระยะต้นสำหรับ
การเปิดให้บริการในต่างประเทศ
สำหรับการให้บริการในขณะนี้ธนาคารอิสลามให้บริการในส่วนของธุรกรรมเบื้องต้นทั่วไป
อาทิ การรับฝากเงิน การออกแอล/ซี แต่ในต้นปี 2546 จะเริ่มให้บริการมากขึ้นตามลำดับ
แต่ทุกๆบริการของธนาคารอิสลามจะยังคงเน้นหลักของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด
คือ จะไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ย แต่จะใช้วิธีการแบ่งส่วนแบ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้น ใช้ได้ผลมาแล้วในหลายๆประเทศ ทั้งที่เป็นประเทศมุสลิมและ
ประเทศตะวันตก
"ข้อจำกัดของธนาคารอิสลามที่ไม่ให้เงินและร่วมธุรกิจกับธุรกิจที่ขัดต่อหลักศาสนา
เช่น สถานบริการเริงรมย์ การกักเก็บสินค้า ไม่ถือเป็นข้อเสียเปรียบในการทำธุรกิจ
เนื่องจากลูกค้าประเภทอื่นๆยังมีอีกมาก และจากการสำรวจมาแล้วในประเทศมาเลเซียพบว่า
สินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอิสลาม เมื่อคำนวณแล้วผู้ใช้บริการจะมีภาระในการชำระเงินให้กับธนาคารอิสลาม
ต่ำกว่าหากใช้บริการของธนาคารพาณิชย์ในสินเชื่อประเภทเดียวกัน" นายธีรศักดิ์กล่าว
สำหรับกรณีของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอิสลาม นายธีรศักดิ์กล่าวว่า
ธนาคารจะใช้วิธีการคำนวณราคาบ้านในอนาคตจนสิ้นสุดอายุสัญญา จากนั้นจึงจะทอนเงินผ่อนในแต่ละงวด
ให้ผู้กู้ได้ทราบ โดยอัตราการชำระแต่ละเดือนจะเท่ากันตลอดอายุสัญญา ทำให้ผู้กู้สามารถรู้ภาระของตนเองได้ตลอดอายุสัญญา
ไม่มีปัญหาความเสี่ยงต่ออัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไป เหมือนกับการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ทั่วไปทั้งนี้ในปัจจุบันธนาคารกรุงไทย
เปิดสาขาธนาคารอิสลามไปแล้ว 5 สาขา และ14 เคาน์เตอร์บริการ
ปล่อยกู้เอสเอ็มอีไม่ติดขัด ผ่าโครงการร่วมมือสสว.
นายอนันตผล พันธุ์เพ็ง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็ม อีและรักษาการผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสิน
เชื่อเอสเอ็มอี ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป้าหมายสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือ เอสเอ็มอี ของธนาคารในปีนี้ ยืนยันว่าจะสามารถปล่อยกู้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้คือ
25,000 ล้านบาท แม้ว่า ณ ปัจจุบัน สามารถอนุมัติยอดสินเชื่อเอสเอ็มอีไปได้ประมาณกว่า
10,000 ล้านบาท
โดยมียอดเบิกไปใช้จ่าย ณ สิ้นมิถุนายนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท
โดยยอดอนุมัติสินเชื่อเอสเอ็มอี 25,000 ล้านบาท นั้นคาดว่าลูกค้าจะสามารถเบิกเงินไปใช้จ่ายประมาณ
15,000-17,000 ล้านบาท
"ธนาคารยังมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยกู้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน
เพราะเศรษฐกิจโดยรวมได้มีการปรับตัวดีขึ้นเยอะและเมื่อต้นปีมีลูกค้า มาคุยกับธนาคารเป็นจำนวนมากและยิ่งมั่นใจไปกว่านั้นคือธนาคารไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับโครง
สร้างองค์กรของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันถือว่านิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นธนาคารจึงสามารถลุยงานได้เต็มท"
นายอนันตผลกล่าว
สินเชื่อเอสเอ็มอีรายใหม่ นั้น ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
หรือ เอ็นพีแอล แต่ธนาคารก็ได้ตั้งเป้าว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีใหม่จะมีเอ็นพีแอลได้ไม่เกินร้อยละ
2 สินเชื่อเอสเอ็มอีที่ปล่อยไปส่วนใหญ่ เป็นลูกค้าที่ผลิตสินค้า เป็นลูกค้าที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการค้าต่างๆ
แต่ยอด สินเชื่อในครึ่งปีแรกนั้นส่วนใหญ่เป็นภาคธุรกิจการ บริการ ประเภทสถานีบริการน้ำมัน
ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หากเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือฟื้นตัวจริง
เชื่อว่าภาคธุรกิจอุตสาหกรรมประเภทผลิตสินค้าเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่
หรือ พวกที่ซัปพอร์ตจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาคธุรกิจการบริการ เพราะกลุ่มนี้จะต้องใช้เงินทุนสูง
สำหรับโครงการชุบชีวิตธุรกิจไทย ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี
ที่ต้องการฟื้นฟูกิจการของตัวเอง โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นแกนนำ ซึ่งธนาคารมีหน้าที่ในการอนุมัติสินเชื่อนั้น
ล่าสุด ยังไม่ได้เริ่มอนุมัติสินเชื่อ แต่ได้มีลูกค้าได้เข้ามาติดต่ออย่าง
ต่อเนื่องซึ่งมียอดผู้มาติดต่อแล้วไม่ต่ำกว่ า 30 ราย เป็นลูกค้ารายใหม่เกือบทั้งหมด
ทั้งนี้เพราะโครงการ ดังกล่าวลูกค้าต้องผ่านการคัดเลือกมาจากทางการก่อน และมีสอบถามทุกวัน
ซึ่งโครงการดังกล่าวกำลังไปได้ด้วยดี
ส่วนโครงการยุทธศาสตร์ธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจข
นาดกลาง และขนาดย่อม (สสว.) นั้น กรุงไทยให้การสนับสนุนจำนวน 106,500 ล้านบาท
ณ ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งโครงการดังกล่าวแบ่ง เป็น 2 โครงการ
โครงการแรก เป็นการจัดตั้งกองทุน 3 กองทุน ใน 3 กองทุน แบ่งออกเป็น
1.กองทุนจัดหาเงินทุนให้ผู้ประกอบการชุมชน ที่เป็นลูกค้ารายเล็ก มีวงเงินรายละ
10,000 บาท แต่เวลาปล่อย กู้นั้น จะปล่อยในลักษณะของการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
1-10 ราย โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งกองทุนนี้ธนาคารกรุงไทยให้การสนับสนุน
5,000 ล้านบาท ธนาคารออมสินให้การสนับสนุน 5,000 ล้านบาท
2.กองทุนร่วมทุน เน้นเอสเอ็มอีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มลูกค้าที่ขาดหลักประกัน
เป็นลูกค้าเอ็นพีแอล กรุงไทยให้การสนับสนุน 20,000 ล้านบาท ซึ่ง กองทุนจัดหารเงินทุนกับกองทุนร่วมทุน
เป็นการให้กู้ และธนาคารพาณิชย์ของรัฐอื่น ๆ อีก 20,000 ล้านบาท และ
3. เป็นกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีเพื่อนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) กรุงไทยให้การสนับ
สนุน 3,000 ล้านบาท ธนาคารอื่นๆ ของรัฐอีก 7,000 ล้านบาท รวม ทั้ง 3 กองทุน
มูลค่ารวม 60,000 ล้านบาท กรุงไทยให้การสนับสนุน 28,000 ล้านบาท ระยะเวลา
2 ปี นับจาก มิถุนายน2545-กรกฎาคม 2547
โครงการที่ 2 เป็นการให้การสนับสนุนสินเชื่อ 7 โครงการย่อย ซึ่งกรุงไทยให้การสนับสนุน
78,500 ล้านบาท ในระยะเวลา 2 ปี แบ่งออกเป็น สินเชื่อผู้ประกอบการรายใหม่
6,500 ล้านบาท, สินเชื่อผู้ประกอบการส่งออก 10,000 ล้านบาท,สินเชื่อผู้พัฒนาเอสเอ็มอี
30,000 ล้านบาท, สินเชื่อพัฒนาเอสเอ็มอีขนาดเล็ก 20,000 ล้านบาท, สินเชื่อนับสนุนเงินทุนดำเนินการ
หรือ Matching Fund 5,000 ล้านบาท, สินเชื่อช่วยเหลือร้านค้ารายย่อย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านค้า
2,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการช่วยเหลือและพัฒนาเอสเอ็มอีขนาดจิ๋ว 5,000
ล้านบาท