Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์18 พฤษภาคม 2548
เอดีบีชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้โตช้าลงอีก จับตาเมกะโปรเจคส์-หนี้เอกชน-ปฏิรูปศก.             
 


   
search resources

Economics
ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย




ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี)ชี้ เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังจะเติบโตชะลอตัวลงต่อเนื่องจากในปีที่แล้ว ขณะที่ประเด็นปัญหาซึ่งควรต้องจับตาติดตามได้แก่ เรื่องการดำเนินโครงการขนาดใหญ่, ความไม่สมดุลของหนี้สินภาคเอกชน, และการที่รัฐบาลจะใช้โอกาสซึ่งมีความเข้มแข้งในรัฐสภายิ่งขึ้น มาส่งเสริมการปฏิรูปทางเศรษฐกิจหรือไม่

เอดีบีจัดทำรายงานประเมินและคาดการณ์เศรษฐกิจในเอเชียเป็นประจำทุกปี โดยใช้ชื่อว่า Asian Development Outlook (ทิศทางแนวโน้มการพัฒนาแห่งเอเชีย) สำหรับของปี 2005 เพิ่งมีการเผยแพร่เมื่อต้นเดือนนี้

“ผู้จัดการรายสัปดาห์” ขอแปลเก็บความส่วนที่กล่าวถึงประเทศไทยในรายงาน Asian Development Outlook 2005 เสนอท่านผู้อ่าน ณ ที่นี้

ประเมินภาวะเศรษฐกิจมหภาคปี 2004

ตรงกันข้ามกับประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเติบโตสูงขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยกลับชะลอตัวลงในปี 2004 จนเหลือ 6.1% ซึ่งแม้ยังแข็งแกร่งอยู่ แต่ก็ต่ำกว่าระดับ 6.9% ของปี 2003 การเชื่องช้าลงเช่นนี้มีสาเหตุมาจากภาวะภัยแล้งที่ยืดเยื้อ, ไข้หวัดนก, ราคาน้ำมันที่กำลังสูงขึ้น, และความไม่สงบในจังหวัดภาคใต้ ซึ่งส่งผลเสียหายต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน

ทว่าขณะที่แนวโน้มของภาพกว้างๆ จะเป็นเช่นนี้ ปรากฏว่าการลงทุนกลับยังคงเร่งตัวต่อไป โดยกำลังเพิ่มขึ้นในระดับ 16.1% และร่วมส่วนอยู่ 3.6% ในอัตราเติบโตโดยรวม ปัจจัยหลักก็คือการลงทุนภาครัฐซึ่งพุ่งพรวด 11.7% หลังจากลดลง 0.8% ในปี 2003 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเติบโตในระดับ 15.3% ช้าลงเล็กน้อยจาก 17.5% ในปี 2003

การบริโภคขยายตัวด้วยอัตรา 5.4% และมีส่วนในการเติบโตของจีดีพีอยู่ 3.4% ใกล้เคียงกับคุณูปการของการลงทุน ในด้านการบริโภคยังเหมือนกับการลงทุนอีกประการหนึ่ง นั่นคือการใช้จ่ายของรัฐบาลมีสูงขึ้น เพิ่มเป็น 4.1% จาก 2.0% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีอัตราเติบโตช้าลง เป็น 5.6% จาก 6.4%

สำหรับการนำเข้ามีฝีก้าวขยายตัวรวดเร็วกว่าการส่งออก และทำให้การส่งออกสุทธิเป็นตัวฉุดรั้งการขยายตัวของจีดีพีอยู่ 1.1%

ในด้านการผลิต เกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง, ไข้หวัดนก, และความต้องการในการส่งออกกุ้งลดต่ำลงสืบเนื่องจากถูกสหรัฐฯใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด ผลก็คือ ผลผลิตภาคการเกษตรตกลง 4.4% ในปี 2004 จากที่เคยขยายตัว 8.7% ในปี 2003

อัตราเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตก็หย่อนลงเหลือ 8.3% จาก 10.4% การผลิตเคมีภัณฑ์เป็นไปอย่างแข็งแกร่ง ส่วนใหญ่มาจากการที่จีนมีความต้องการสูง อุตสาหกรรมเบาบางแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารและเครื่องดื่ม ยังได้รับความเสียหายจากไข้หวัดนกและภัยแล้ง ถึงแม้จะฟื้นตัวขึ้นมาในไตรมาสสาม อุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยียังคงชะลอตัวต่อเนื่องตลอดปี 2004 ส่วนหนึ่งเนื่องจากความต้องการยานยนต์ลดต่ำในเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงอัตราอากรสรรพสามิตที่ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการซื้อไปจนหลังเดือนกรกฎาคม เมื่ออัตราใหม่มีผลบังคับใช้

สำหรับภาคบริการ อัตราเติบโตของการค้าส่งและการค้าปลีกลดลงเล็กน้อย ทว่าโรงแรมและร้านอาหารเติบโตขึ้น 12.4% ฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งจากปี 2003 เมื่อการระบาดของโรคซาร์สในภูมิภาคแถบนี้ทำให้กิจการแขนงเหล่านี้ย่ำแย่ อัตราการเข้าพักของโรงแรมเพิ่มขึ้นจากประมาณ 57% ในปี 2003 เป็น 64% ในปี 2004 และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศก็สูงขึ้น 17.3% เป็น 11.7 ล้านคน การก่อสร้างมีอัตราขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ 12.7% ในปี 2004 จาก 3.3% ในปี 2003 สะท้อนการเพิ่มการก่อสร้างทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ การขนส่งและการสื่อสารก็เติบโตรวดเร็วขึ้นในปี 2004 ด้วยอัตรา 7.7% หรือกว่าสองเท่าตัวของฝีก้าวปี 2003 ขณะที่การขยายตัวภาคการเงินก็อยู่ในระดับสูงคือ 14.2% ในปี 2004 ถึงแม้ยังคงต่ำลงจากปี 2003 อยู่ 2%

ทิศทางสำหรับปี 2005-2007 และแนวโน้มระยะปานกลาง

อัตราเติบโตน่าจะหย่อนลงไปอีก เหลือ 5.6% ในปี 2005 เนื่องจากการชะลอตัวของอัตราเติบโตทั่วโลก, ราคาน้ำมันที่ขึ้นสูง, และผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ

การลดลงของอัตราเติบโตจากสึนามิประมาณการว่าอยู่ในระดับ 0.3-0.5% ของจีดีพี โดยจะได้รับการชดเชยส่วนหนึ่งจากการฟื้นฟูบูรณะของภาครัฐบาลและภาคเอกชน

อัตราขยายตัวของการบริโภคพยากรณ์ว่าจะเชื่องช้าลงเหลือราว 4% ในปี 2005 เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนถึงการขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 2 ครั้งในรอบไตรมาสแรกปี 2005 และภาวะเงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในปี 2005 ก็จะชะลอการใช้จ่าย

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในแนวโน้มขาลงตั้งแต่ต้นๆ ปี 2005 กระนั้นอัตราเติบโตของการลงทุนยังจะไต่ขึ้นไปอยู่ราวๆ 16% ในปี 2005 เนื่องจากการฟื้นฟูบูรณะหลังสึนามิ, อัตราการใช้ศักยภาพในอุตสาหกรรมการผลิตบางแขนงอยู่ในระดับสูงมากแล้ว, และความสามารถในการทำกำไรของภาคบรรษัทที่แข็งแกร่งขึ้นในปี 2004 นอกจากนั้น โครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานในภาคสาธารณะบางโครงการยังคาดหมายว่าจะเดินหน้าได้ภายในสิ้นปี 2005 และรัฐบาลวางแผนจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งจะให้เงินทุนแก่การลงทุนภาครัฐ ปัจจัยเหล่านี้จะมีผลเกินพอชดเชยผลกระทบทางลบต่อการลงทุน อันเนื่องจากอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง และอัตราดอกเบี้ยซึ่งไต่สูงขึ้น

ในด้านการผลิต คาดหมายว่าเกษตรกรรมจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ภายหลังการหดตัวในปี 2004 ทั้งนี้หากภาวะภัยแล้งคลี่คลายลง และไข้หวัดนกมิได้กลับแพร่ระบาดไปทั่วประเทศอีก อย่างไรก็ตาม ภัยแล้งยังคงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งตลอดไตรมาสแรกปี 2005 และถ้ายังเป็นเช่นนี้อีกหลังจากนั้น ก็อาจจะมีผลชะลอเศรษฐกิจต่อไป สำหรับอุตสาหกรรมนั้น อัตราเติบโตอยู่ในช่วง 7-8% ในระยะที่ทำนายนี้ ซึ่งต่ำลงนิดหน่อยจากฝีก้าวของปี 2004

อัตราเติบโตของภาคบริการก็จะอ่อนลงเหลือราว 4.0% ในปี 2005 ซึ่งเป็นการสะท้อนผลกระทบของคลื่นยักษ์สึนามิที่มีต่อการท่องเที่ยว ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วิจารณ์ไว้ในเดือนมีนาคม 2005 อัตราเติบโตของเศรษฐกิจเพลาๆ ลงในเดือนธันวาคมและมกราคม โดยเป็นผลจากสึนามิ, ภัยแล้ง, และแนวโน้มการส่งออกที่อ่อนตัวลง หลังจากปีนี้ไป คาดหมายว่าอัตราเติบโตของจีดีพีจะไต่สูงขึ้นเป็น 5.8%ในปี 2006 และ 6.0% ในปี 2007

การส่งออกสุทธิจะเป็นตัวฉุดรั้งอัตราเติบโตนิดหน่อยอย่างน้อยก็ในระยะ 2 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เนื่องจากราคาน้ำมันที่ขึ้นสูง และความต้องการในเงินทุนและสินค้าขั้นกลางซึ่งล้วนต้องนำเข้า การนำเข้าที่มีอัตราเติบโตเร็วกว่าการส่งออก จะทำให้ดุลการค้าอยู่ในสภาพขาดดุลตั้งแต่ปี 2005 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดก็ได้เปรียบน้อยลง อย่างไรก็ตาม คาดหมายว่าหนี้สินภายนอกประเทศจะลดน้อยลงต่อไป และทุนสำรองระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอีกราวเกือบ 1-3.5% โดยเฉพาะในปี 2005 ก่อนที่จะถดถอยลงในปี 2006-2007

นักลงทุนจะเฝ้าจับตาดูว่า รัฐบาลจะใช้หรือไม่ใช้โอกาสที่ได้มาเนื่องจากมีฐานะในรัฐสภาเข้มแข็งขึ้น เพื่อดำเนินการผลักดันอีกครั้งหนึ่งในเรื่องการปรับโครงสร้างภาคบรรษัทและภาคการธนาคาร, เรื่องการปฏิรูปทางกฎหมายในด้านบรรษัทภิบาลและการล้มละลาย, และเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

ประเด็นปัญหาอีกประการหนึ่งที่คาดได้ว่าจะถูกติดตามตรวจสอบ เป็นเรื่องทัศนคติของรัฐบาลต่อการใช้จ่ายนอกงบประมาณ ในเมื่อเวลานี้รัฐบาลมีความมั่นคงขึ้นมาก การใช้จ่ายนอกภาครัฐบาลนั้นก่อให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับขนาดของพันธะอันเกิดขึ้นจากกรณีที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนของรัฐบาล

ความเสี่ยงภายนอกต่อทิศทางแนวโน้มในระยะปานกลางนั้น มีอาทิ การที่ตลาดสำคัญๆ ของไทยเกิดมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดหมายกัน และการที่ราคาน้ำมันสูงกว่าคาดหมาย แต่การที่ประเทศไทยเข้ามีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นในโครงการความร่วมมือระดับภูมิภาค และกรอบโครงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับทวิภาคี น่าจะช่วยให้ไทยสามารถลดผลกระทบของปัญหาอันเกิดจากภายนอกในบางรูปแบบจนเหลืออยู่น้อยที่สุด

ส่วนปัจจัยด้านความเสี่ยงภัยภายใน ได้แก่ ภาวะภัยแล้ง, ภัยคุกคามที่ไข้หวัดนกอาจระบาดไปทั่วประเทศ, และความตึงเครียดเชิงสังคมการเมืองในภาคใต้ นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องให้ความใส่ใจอย่างใกล้ชิดกับระดับหนี้สินภาคเอกชน เพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และระดับหนี้สินภาคครัวเรือน ต่างกำลังเพิ่มสูงขึ้น การขยายสินเชื่อจนมากเกินไป สามารถเพิ่มความอ่อนแอให้แก่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และโดยเฉพาะแก่ภาคการเงิน ในกรณีที่มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

เมื่อมองในระยะยาวไกลออกไป ปัญหาท้าทายที่ดำรงมานานแล้วก็คือการศึกษาระดับอุดมศึกษา ในแง่ของคุณภาพและโอกาสการเข้าถึงการศึกษา การมีลูกจ้างพนักงานที่ได้รับการศึกษาอบรมมาแล้วเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาทางเทคนิคต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เศรษฐกิจยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้

พัฒนาการในด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค

รัฐบาลมีฐานะเข้มแข็งยิ่งขึ้นในรัฐสภาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2005 ทำให้มั่นใจว่าจะมีการต่อเนื่องในนโยบาย dual track ที่มุ่งสร้างพื้นฐานต่างๆ ของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้ประเทศไทยเชื่อมโยงกับตลาดโลกโดยผ่านการค้าระหว่างประเทศ, การลงทุน, และความร่วมมือทางการเงิน คาดหมายว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการต่างๆ ของตนต่อไป อาทิ กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งมุ่งปล่อยเงินกู้ให้ชุมชนต่างๆ ตลอดจนนโยบายช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)

ราคาพืชผลที่สูงในปี 2003-2004 ทำให้รายได้ในภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ กล่าวคือ 28.5% ในปี 2003 และ 15.4% ในปี 2004 การเพิ่มขึ้นเหล่านี้เมื่อบวกกับโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่อัดฉีดเงินทุนเข้าไปในพื้นที่ชนบท ได้มีส่วนในการลดความยากจน อย่างไรก็ตาม การที่ภูมิภาคต่างๆ และกลุ่มต่างๆ ยังมีความไม่เท่าเทียมกันในด้านรายได้ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข ถึงแม้ประเทศไทยน่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาช่วงสหัสวรรษที่กำหนดไว้เป็นส่วนใหญ่ โดยเวลานี้มีการก้าวเลยเป้าหมายเหล่านี้ไปแล้วในบางด้านด้วยซ้ำ

ในด้านการลงทุน รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจวางแผนการลงทุนที่กำหนดให้ใช้จ่ายสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท ระหว่างปีงบประมาณ 2005-2008 ส่วนใหญ่เพื่อใช้จ่ายในโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการขนส่งและพลังงาน ในจำนวนนี้พวกโครงการขนาดใหญ่ที่แต่ละโครงการมีมูลค่าสูงกว่า 3,000 ล้านบาท มีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 56% ของทั้งหมด ตามที่วางแผนกันไว้เงินทุนซึ่งจะใช้ในการลงทุนเหล่านี้จะมาจากงบประมาณรัฐบาล (36%) เงินกู้ภายในประเทศ (25%) เงินกู้ระหว่างประเทศ (24%) และรายได้ของรัฐวิสาหกิจ (15%)

การลงทุนเหล่านี้จะเพิ่มอัตราเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยราว 0.2% ต่อปีตลอดระยะเวลาการลงทุน ทั้งนี้ตามตัวเลขของกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม มันก็อาจจะส่งผลให้ได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ถึงแม้การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจ แต่ในการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่เช่นนี้ รัฐบาลควรต้องพิจารณาให้มากในเรื่องความสามารถที่จะชำระหนี้ และเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค

รัฐบาลได้ใช้มาตรการลดหย่อนภาษีด้วยความหวังว่าจะกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน เริ่มตั้งแต่ปี 2005 อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผลกำไร 1 ล้านบาทแรก จะลดต่ำลงมาสำหรับธุรกิจซึ่งมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และตั้งแต่เดือนเมษายน 2005 ก็มีการขยายขนาดของธุรกิจที่ต้องยื่นเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จากปีละไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท เป็น 1.8 ล้านบาท

ภายหลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรซึ่งเป็นดอกเบี้ยมาตรฐานไปแล้ว 3 ครั้งในครึ่งหลังของปี 2004 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ก็ขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง 0.25% เป็น 2.25% ในเดือนมีนาคม 2005 โดยที่การเข้มงวดยิ่งขึ้นดูจะเป็นไปได้เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังสูงขึ้น, และความจำเป็นที่จะคงดอกเบี้ยให้ต่ำในประเทศไทยก็ลดน้อยลง แต่กระนั้นแบงก์ชาติก็จะใช้ท่าทีระมัดระวัง เพราะการปรับอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วเกินไปสามารถสร้างความเสียหายต่อการลงทุนของภาคเอกชน, การเติบโตของเศรษฐกิจ, และธนาคารต่างๆ หากลูกหนี้ของพวกเขาอยู่ในภาวะตึงตัวเกินไปจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us