|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แนะมนุษย์เงินเดือน ยุคเศรษฐกิจขาลง เลือกสูตรผ่อนบ้านใหม่ หรือซื้อบ้านมือสองที่ไม่เสี่ยง ชี้เงินเดือนขึ้นไม่ทันอัตราเงินเฟ้อในอีก 2 ปีข้างหน้า พร้อมถอนเงินจากตลาดหุ้น เก็บกองทุนบางประเภท ที่ให้ประโยชน์คุ้มค่าและไม่เสี่ยง
ภาวะราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยที่กำลังโลดแล่นต้องสะดุด ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อให้พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4% จากเดิมที่อยู่ที่ 3% เท่านั้น นอกจากนั้นยังตามมาด้วยแนวโน้มที่จะต้องมีการขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้เกิดความสมดุลกับเงินเฟ้อที่ถีบตัวสูง
สถานการณ์ปัจจุบันจึงแตกต่างจากในอดีตที่เป็นยุค น้ำมันถูก ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อไม่สูง ดังนั้นใครที่วางแผนการเงินแบบเดิม ๆ อยู่จึงจำเป็นต้องปรับกระบวนทัศน์ วางแผนชีวิตใหม่ เพราะเงินที่มีอยู่ในมือตอนนี้จะมีอำนาจในการซื้อลดน้อยลง
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อบ้าน ทั้งบ้านใหม่ และบ้านมือสอง ทั้งในงาน NPL GRAND SALE ซึ่งจัดขึ้นในวันที่..29-31 ก.ค.นี้ และมหกรรมบ้านมือสอง วันที่ 9-17 ก.ย.นี้ คงต้องคิดหนักมากกว่าเดิม เพราะดอกเบี้ยที่กำลังเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีเงินเฟ้อเข้ามาแบ่งเงินในกระเป๋าให้น้อยลงไปอีก
ซื้อบ้านเลือกอัตราคงที่ให้นานที่สุด
พงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ยังตัด มาร์จินตัวเอง เพื่อพยุงราคาบ้านใหม่ไม่ให้สูง ในขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น ถ้าใครคิดจะซื้อบ้านตอนนี้ก็อยากให้ตัดสินใจซื้อในราคา ขณะนี้ไปเลย อย่าไปกลัวอัตราดอกเบี้ย แต่อยากให้ลดความเสี่ยงตนเองด้วยการเลือกอัตราดอกเบี้ยที่มีความยาวของเวลาให้มากที่สุด อย่าคิดแค่ดอกเบี้ย 1 ปีแรก เช่นจากเดิมคิดไว้ว่าจะเลือกดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ก็อยากให้เลือกดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี แทน แต่ทางที่ดี พยายามหา ธนาคารที่เสนอดอกเบี้ยอัตราคงที่ให้ได้นานที่สุด
"ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่1 ปีนี้ เทียบกับไตรมาสที่ 1 ปีที่แล้ว ลดลงไป 5 % ถึงแม้ว่าตัวเลขจะลดลง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก เพราะยังมีความต้องการที่แท้จริงอยู่" พงษ์ศักดิ์ ชิวชรัตน์ ระบุ
ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นน้ำมันหล่อลื่นให้กับระบบเศรษฐกิจนั้น ก็เริ่มส่อเค้าส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว เริ่มต้นที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และคาดว่าจะเป็นสัญญาณอันหนึ่งที่จะบอกแก่ผู้บริโภคแล้วว่า ถึงเวลาที่จะต้อง วางแผนให้ดีก่อนที่จะคิดกู้เงิน ใช้จ่ายเงินในอนาคต
นักวิชาการเน้นซื้อตราสารหนี้กำไรสุด
ขณะที่ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่าง นิพนธ์ พังพงศธรมองว่า ถ้ามีเงินอยู่ก้อนหนึ่งตอนนี้ ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น อยากให้เงินจากตลาดหุ้นไปสู่การลงทุนซื้อตราสารหนี้ แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้เห็นเด่นชัดแต่คาดว่ามีแนวโน้มแน่นอนว่าดอกเบี้ยจะขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย การเลือกฝากเงินกับธนาคารก็ได้ เพราะคาดว่าไม่เกิน2 ปี อัตราดอกเบี้ยจะต้องปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับในภาวะเช่นนี้ มนุษย์เงินเดือนจะต้องคิดหนักมากกว่าเดิม ยิ่งถ้าคิดจะซื้อบ้านด้วยแล้ว เพราะนิพนธ์ คาดว่าอัตราเงินเดือนจะเพิ่มไม่ทันกับอัตราเงินเฟ้อในอีก 2 ปีข้างหน้าแน่ๆถ้าคิดที่จะซื้อบ้านจึงต้องหาดอกเบี้ยคงที่ให้นานที่สุด และเลือกงวดการผ่อนชำระเผื่ออัตราเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นในอีก 2 ปี ข้างหน้าหลังจากที่ปล่อยอัตราลอยตัวแล้วให้อยู่รอดได้
"ภาวะเงินเฟ้ออย่างนี้คุณต้องคาดคะเนอนาคตให้ดี เพราะ รายได้จะไม่เพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่รายจ่ายประดังเข้ามา การเลือกงวดส่งบ้านหลังจากปล่อยดอกเบี้ยลอยตัวจึงสำคัญอย่างยิ่ง"
แบงก์ยืนยัน ปล่อยกู้ตามปกติ
สหัส ตรีทิพยบุตร รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าทางธนาคารกรุงไทยยังคงปล่อยกู้ให้กับประชาชนอย่างปกติ เพราะถือว่าเป็นรายได้ที่สำคัญของธนาคาร โดยปล่อยกู้ให้กับประเภทอสังหาริมทรัพย์กว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ทสินเชื่อ ถึงแม้ว่าบางธนาคารจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว แต่ทางธนาคารกรุงไทยยังรักษาอัตรา MLR ไว้ที่ 5.75 ไประยะ หนึ่ง
แม้แบงก์กรุงไทยจะบอกว่ายังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย MLR ขึ้นในช่วงนี้ แต่เมื่อทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้ทันกับอัตราเงินเฟ้อ ที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน ก็ต้องหันมาถามคนที่ถือหน่วยลงทุน เช่นกองทุนรวมแล้วว่าจะต้อง มีการปรับพอร์ทกันบ้าง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
เน้นซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น
เรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอเจเอฟ ฯ กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ยังมองไม่ออกเลยว่าจะอยู่ในภาวะเช่นนี้ไปอีกนานเท่าแค่ไหน เพราะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันว่าจะมีการขึ้นราคามากขึ้นอีกหรือไม่ นักลงทุนต้องปรับพอร์ทตัวเองให้เข้ากับสภาวะปัจจุบันโดยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อทำกำไร และถ้าใครมีหุ้นอยู่ในพอร์ทตอนนี้ก็แนะนำให้ถือไว้เฉยๆก่อน แต่ถ้าใครยังไม่มีหุ้นในพอร์ท เลยก็อยากให้เข้าไปซื้อกองทุนหุ้น เพราะราคาหุ้นตกลงไปมากแล้ว
นอกจากนั้นจะเป็นการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ถ้านักลงทุนเลือกที่จะลงทุนกับกองทุนที่เน้นการลงทุนต่างประเทศ เพราะแม้จะเป็นเศรษฐกิจขาลง แต่เมืองไทยมี ปฎิกริยาที่รวดเร็วกว่าทุกประเทศ ดังนั้นถ้าผู้ลงทุนเลือกที่จะลงทุนในกองทุนต่างประเทศก็จะเป็นการรักษาภาพการลงทุนโดยรวมให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
|
|
|
|
|