Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์5 สิงหาคม 2548
PF ปรับกลยุทธ์ลงทุน เจาะตลาดชนชั้นกลาง ผุดคอนโดตามแนวรถไฟฟ้า             
 


   
search resources

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, บมจ.
ชายนิด โง้วศิริมณี
Real Estate




“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่รองรับพฤติกรรมผู้บริโภค “เปลี๊ยนไป” ผุดคอนเซ็ปต์คอนโดคนเมืองตามแนวรถไฟฟ้า จับกระแสคนทันสมัย-รักสุขภาพ ขยายฐานลูกค้าสู่ระดับ 1 ล้านต้น ๆ พร้อมจ้าง มธ.ทำวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค คาดเปิดขายได้ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ส่วนสิ้นปีนี้ยอดขายตามเป้า 7,000 ล้านบาทแน่

วิกฤตภาวะน้ำมันแพงเช่นนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งผลกระทบทางตรงของการปรับตัวขึ้นของราคาวัตถุดิบก่อสร้าง-ที่ดิน รวมถึงผลกระทบทางอ้อมในเรื่องราคาดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ส่งผลทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง วิกฤตครั้งนี้ บริษัทไหนปรับตัวได้เร็วกว่า ย่อมได้เปรียบ...

สร้างคอนโดรับวิกฤตน้ำมันแพง
“น้ำมันแพงอย่างนี้ ไม่มีใครอยากซื้อบ้านไกล ๆ ค่าน้ำมันกับเวลาที่เสียไปมันไม่คุ้มกับการเดินทาง”

ชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างเร่งด่วน

“พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแล้ว เราต้องรีบปรับ แต่ก็ไม่ได้ปรับใหญ่มาก ถือเป็นการปรับขนาดกลาง หันมาหาตลาดล่างมากขึ้น ยอมรับเลยว่าภาวะน้ำมันแพงอย่างนี้ตลาดระดับบนขายได้ช้าลง”

โดยในไตรมาสนี้จะมีการเปิดขายโครงการอยู่ 3 แบรนด์ด้วยกัน คือ เพอร์เฟค พาร์ค เป็นการจัดกลุ่มบ้านระดับราคา 3.5-4 ล้านบาท,เพอร์เฟค เพรส ระดับราคา 5-7 ล้านบาท และมาสเตอร์พีช ที่ระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป

เมื่อบริษัทคาดการณ์แล้วว่าน้ำมันได้ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป บริษัทจึงเตรียมออกแคมเปญใหม่ ในคอนเซ็ปต์คอนโดในเมือง

“ลูกค้าเตรียมพร้อมที่จะกลับเข้ามาในเมือง เมื่อ 2 ปีที่แล้วทำเลรังสิตฮอต แต่เวลานี้คนเริ่มรู้แล้วว่าราคาน้ำมันไปด้วยกันไม่ได้ เวลานี้ทำเลไกลเมืองจึงต้องหลีกเลี่ยงการลงทุน วิกฤตราคาน้ำมันแพงมองเป็นวิกฤตก็ได้ แต่จะทำให้เป็นโอกาสทองของธุรกิจเรียลเอสเตสก็ได้”

ขยายฐานลูกค้าครอบคลุม 1-3 ล้าน
โดยบริษัทเตรียมที่จะสร้างคอนโดมีเนียมตามแนวรถไฟฟ้า อยู่ห่างเมืองไม่เกิน 10 กิโลเมตร โดยจะมีสโมสร สระว่ายน้ำและ ฟิตเนตอยู่ตรงกลางคอนโดมีเนียม เจาะกลุ่มคนโสด และคนรุ่นใหม่ที่มีความทันสมัย ในระดับราคาที่ไม่แพงมากนัก คือประมาณ 1 ล้านบาท

ทั้งนี้คอนโดมีเนียมจะเป็นคอนโดมีเนียมที่มีขนาดประมาณ 30,40และ 60 ตารางเมตร ความสูง 8 ชั้น ประมาณ 8-9 อาคารในพื้นที่ 10 ไร่ โดยมีสัดส่วนของเนื้อที่คอนโดมีเนียมอยู่ 30% ที่เหลืออีก 70% เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เนื่องจากต้องการให้ผู้ที่มาอยู่อาศัย อยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะที่บ้านเดี่ยวจะมีพื้นที่ของบ้านเดี่ยว 60% และส่วนกลางที่เป็นถนนอีก 40%

“เพอร์เฟคต้องปรับตัวเข้าหาลูกค้ามากขึ้น เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่”

ชายนิด กล่าวว่าต่อไปเพอร์เฟคจะต้องมีโครงการคอนโดมีเนียมอย่างน้อยปีละ 1 โครงการ โดยงบที่จะใช้ลงทุนก็จะใช้ตามเนื้อที่คือถ้าเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ถ้าเนื้อที่ 20 ไร่ ก็จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากทำโครงการออกมาได้ดี จะสามารถขายได้หมดอย่างรวดเร็ว จึงไม่เป็นห่วงเรื่องการขายมากนัก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการบริการหลังการขาย หรือการบริหารชุมชนให้ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย

จ้างมธ.ทำวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค
ดังนั้นเพื่อสร้างโครงการออกมาให้ดีที่สุด ขณะนี้บริษัทได้จ้างอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาทำงานวิจัยในเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยในงานวิจัยนี้จะมีการศึกษาด้วยว่ารูปแบบของคอนโดมีเนียมแบบไหนที่ลูกค้าต้องการ เช่น ห้องขนาดไหนดีที่สุด ห้องน้ำจะสร้างใหญ่หรือเล็ก ฯลฯ รวมทั้งศึกษาด้วยว่ารูปแบบการก่อสร้างควรจะเป็นแบบใดเพื่อให้มีความสมบูรณ์แบบ และสามารถสร้างเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งคาดว่างานวิจัยครั้งนี้จะทำเสร็จในเวลา 1 เดือน และโครงการนี้น่าจะสามารถสร้างได้ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยใช้เวลาก่อสร้างเพียงปีเศษด้วยเทคนิคใหม่

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก มีรูปแบบที่คิดไว้เบื้องต้นว่าอาจจะต้องมีร้านค้าเล็ก ๆ เช่นโลตัสเอ็กเพรส เซเว่นอีเลเว่น มีที่จอดรถที่พอเพียงและมีหลังคาป้องกันฝน มีรถรับส่งสถานีรถไฟฟ้าหรือรถรับส่งตามห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ด้วย

ทั้งนี้ การหันมาเจาะตลาดคอนโดมีเนียมของคนรุ่นใหม่ที่บริษัทกำลังทำอยู่นี้ ชายนิดยืนยันว่าเป็นการเปิดตลาดใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น ส่วนตลาดเดิมของบริษัท ยังต้องรักษาไว้ เดิมเรามีตลาดแค่ 3-10 ล้านบาท จึงอยากมาเจาะตลาดที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาทด้วย

เร่งเปิดโครงการดันยอดขายแตะ 7,000 ล้าน
อย่างไรก็ดี โครงการคอนโดมีเนียมนี้นับว่าเป็นโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด จึงเป็นโครงการที่รวมอยู่ในแผนของปีหน้า (2549) ขณะที่เป้าหมายของปีนี้ บริษัทวางยอดขายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกขายได้แล้วประมาณ 2,700 ล้านบาท ที่เหลืออีกครึ่งปีนี้จึงต้องขายให้ได้ประมาณ 4,300 ล้านบาท

สำหรับโครงการที่เตรียมจะเปิดในเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการเพอร์เฟค พาร์ค ที่รัตนาธิเบศร์ ในวงเงิน 500 กว่าล้านบาท และที่รามคำแหงในวงเงิน 800 กว่าล้านบาท โดยจะขายที่ระดับราคา 3.5-4 ล้านบาท

ส่วนเดือนกันยายน บริษัทจะเปิดขายโครงการเพอร์เฟค เพรส รัตนาธิเบศร์-พระราม 5 ในพื้นที่ 80 ไร่ และเปิดโครงการเพอร์เฟค เพรส รามคำแหง-สุวรรณภูมิ ระดับราคา 5-7 ล้านบาท เพื่อรองรับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางใหญ่ และรองรับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ ที่มีการเทคโอเวอร์สยามจัสโก้ ทั้งนี้ในไตรมาส 4 บริษัทยังเตรียมเปิดโครงการมาสเตอร์พีช รัตนาธิเบศร์ ด้วย

เมื่อเปิดขายโครงการทั้งหมดแล้ว คาดว่าสิ้นปีจะมียอดขายที่ใกล้เคียงกับเป้าที่วางไว้ และขณะนี้ก็มียอดขายต่ออาทิตย์ประมาณอาทิตย์ละ 150-200 ล้านบาทอยู่แล้ว การจะทำให้ได้ตามเป้าหมาย 7,000 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องไม่ยากนัก

ต้นทุนเพิ่ม-กระทบไม่เกิน 5%
ทั้งนี้สำหรับแผนการลงทุนต่อไปของบริษัท เมื่อหันมาทำคอนโดมีเนียมจึงคาดว่าปีหน้าจะไม่มีการลงทุนในตัวที่ดินมากนัก แต่จะเน้นไปที่การลงทุนค่าก่อสร้างคอนโดมีเนียมแทน เพราะขณะนี้บริษัทก็มีที่ดินเพียงพอที่จะทำโครงการได้ถึง 3 ปี และส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีทำเลตามแนวรถไฟฟ้า แผนการลงทุนซื้อที่ดินของปี 2548 จึงอยู่ที่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับในปี 2549 จากปี 2546 ที่มีการลงทุนในที่ดินประมาณ 2,000 ล้านบาท

สำหรับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% จากสัดส่วนเดิมที่มีอยู่คือ ค่าถมดิน 10% ค่าที่ดิน(มีอยู่แล้ว) 30% ค่าก่อสร้าง 30% และที่เหลืออีก 30% เป็นกำไร ซึ่ง 5% ที่เพิ่มขึ้นอยู่ในส่วนของค่าก่อสร้าง เพราะตอนนี้ไม่มีการถมดินและไม่มีการซื้อที่ดินเพิ่ม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us