Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์16 มิถุนายน 2548
USวางหมากกันไม่ให้'กองทุนการเงินเอเชีย'แจ้งเกิด             
 


   
search resources

International Monetary Fund (IMF)
Funds




เมื่อชาติเอเชียทำท่าจะเป็นอิสระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐฯก็กำลังผลักดันให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) เปลี่ยนแปลงระบบการออกเสียง เตรียมยอมเพิ่มอำนาจต่อรองให้ชาติซึ่งมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจมากขึ้นทุกทีเหล่านี้ โดยผู้สังเกตการณ์บางรายชี้ว่า นี่คือหมากกลล้ำลึกของวอชิงตันที่จะผูกมัดชาติเหล่านี้เอาไว้ ให้ยังคงอยู่ในองค์การโลกบาลทางการเงินแห่งนี้ ซึ่งถึงอย่างไรตนเองก็มีเสียงครอบงำเด็ดขาด

ท่าทีของสหรัฐฯในเรื่องนี้ เห็นชัดจากคำแถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ของ แรนดัล ควอร์ลส์ รักษาการปลัดกระทรวงการคลัง โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสของอเมริกันผู้นี้กล่าวว่า "ถ้ามีประเทศที่กำลังเติบโตอย่างเข้มแข็ง และมีคุณูปการเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจของโลก พวกเขาก็ควรได้รับการส่งเสริมให้มีบทบาทในไอเอ็มเอฟมากขึ้นเคียงคู่ไปด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งยวดในการธำรงความนิยมเชื่อถือของมวลสมาชิก อันเป็นสิ่งที่ไอเอ็มเอฟต้องพึ่งพาอาศัย เพื่อให้คงความสามารถในการปล่อยกู้ของตนเอาไว้ รวมทั้งเพื่อรักษาฐานะความเป็นศูนย์กลางของไอเอ็มเอฟในระบบการเงินของโลกอีกด้วย"

คำแถลงของเขามีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีหลายคนจากชาติกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางแถบเอเชีย ได้แสดงความไม่พอใจเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันฝ่ายประเทศกำลังพัฒนายังมีสัดส่วนตัวแทนน้อยเกินไปในไอเอ็มเอฟ ตลอดจนองค์การโลกบาลทางการเงินอีกแห่งหนึ่งที่ทำงานใกล้ชิดกัน คือ ธนาคารโลก และสภาพเช่นนี้กำลังทำลายความชอบธรรมตลอดจนประสิทธิภาพของสถาบันเหล่านี้เอง

รัฐมนตรีชาติกำลังพัฒนาเหล่านี้ชี้ว่า การให้อำนาจแทบจะโดยสิ้นเชิงในองค์การโลกบาลเหล่านี้ แก่บรรดาชาติอุตสาหกรรมตะวันตกนั้น ไม่ได้สะท้อนถึงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเอาเลย

ทั้งที่เวลานี้ บรรดาชาติเอเชียกำลังสั่งสมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมหึมา จนมีศักยภาพที่จะประคับประคองฐานะทางเศรษฐกิจของพวกตนไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ ซึ่งสหรัฐฯในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ตลอดจนในฐานะเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก สามารถที่จะบงการให้ประเทศผู้ขอกู้ต้องยอมรับเงื่อนไขและดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ อันเป็นการเอื้ออำนวยผลประโยชน์ของวอชิงตัน

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ พร้อมกับ 10 ชาติสมาชิกสมาคมอาเซียน ได้ทำความตกลงกันให้ขยายเครือข่ายข้อตกลงสว็อปเงินตราระดับทวิภาคี อันเห็นกันว่าเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางพัฒนาไปสู่การจัดตั้งเป็นกองทุนการเงินแห่งเอเชีย ที่อาจกลายเป็นคู่แข่งของไอเอ็มเอฟในอนาคต

ยิ่งกว่านั้น หลายประเทศในเอเชียที่ผ่านพ้นวิกฤตทางการเงินมาหมาดๆ รวมทั้งชาติกำลังพัฒนาอื่นๆ จำนวนมาก ยังคับข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อนโยบายต่างๆ ซึ่งรับรองเสนอแนะโดยไอเอ็มเอฟและบรรดามหาอำนาจชาติตะวันตก

พวกเขาโต้แย้งว่า นโยบายปล่อยเงินกู้ของไอเอ็มเอฟซึ่งชอบตั้งเงื่อนไขให้ประเทศลูกหนี้ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, ยกเลิกหรือผ่อนคลายระเบียบควบคุมเศรษฐกิจ, และลดการใช้จ่ายภาคสาธารณะ กำลังเป็นการให้ความสำคัญแก่ตลาดมากกว่าความรับผิดชอบต่อสังคมและต่อประชาชน จนกลายเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมากกว่าที่จะแก้ไขปัญหา อีกทั้งทำให้บรรดาชาติกำลังพัฒนารู้สึกแปลกแยกต่อไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก

ในการแถลงต่อคณะอนุกรรมการด้านการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐฯเมื่อวันที่ 7 ควอร์ลส์จึงได้เรียกร้องให้เร่งเดินหน้าเปลี่ยนระบบออกเสียงของไอเอ็มเอฟ เขาชี้ว่าจะต้องปฏิรูปไอเอ็มเอฟให้สามารถสะท้อนถึงการกำเนิดขึ้นของสหภาพการเงินในยุโรป(ยูโรโซน) รวมทั้งบทบาทที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของพวกตลาดเกิดใหม่เติบโตเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย

เขาบอกว่า ในทางเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้คงไม่ใช่ทำได้อย่างรวดเร็วหรือง่ายดาย แต่เขาก็ย้ำว่า "กระนั้น เราก็เชื่อว่าความพยายามในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่า -และอันที่จริงแล้วจำเป็นสำหรับประสิทธิภาพในระยะยาวของสถาบันแห่งนี้ เพราะไอเอ็มเอฟสำหรับยุคอนาคตนั้นจะต้องเป็นไอเอ็มเอฟซึ่งทุกฝ่ายล้วนมีหุ้นมีเดิมพันอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น"

ถึงแม้องค์การโลกบาลทางการเงินอย่างไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก เที่ยวเทศนาไปทั่วในเรื่องธรรมาภิบาล แต่เอาเข้าจริงกระบวนการตัดสินใจภายในองค์การระหว่างประเทศทั้งสอง ก็มิได้ดำเนินไปด้วยหลักการเคารพเสียงของบรรดารัฐสมาชิกอย่างเสมอภาค หากแต่ถือเอาขนาดโควตาทรัพยากรของไอเอ็มเอฟ ที่แต่ละประเทศสมาชิกได้รับจัดสรร เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าประเทศนั้นๆ มีอำนาจในการลงคะแนนมากน้อยแค่ไหน และประเทศนั้นๆ มีสิทธิที่จะขอกู้ยืมจากไอเอ็มเอฟมากน้อยเพียงใด

ปัจจุบัน ชาติสมาชิกไม่กี่ราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี7) อันประกอบด้วย สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, อิตาลี, แคนาดา เป็นเจ้าของหุ้นเกินกว่า 60%ของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก ดังนั้นจึงสามารถออกเสียงในบอร์ดขององค์การทั้งสองด้วยสัดส่วนคะแนนระดับนั้นด้วย ฐานะเช่นนี้ทำให้พวกเขาสามารถครอบงำกระบวนการตัดสินใจขององค์การโลกบาลแห่งนี้ได้ ยิ่งอเมริกาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดด้วยแล้ว อยู่ในฐานะที่สามารถวีโต้มติสำคัญใดๆ ก็ตาม อันระเบียบการออกเสียงของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก กำหนดให้ต้องได้คะแนนเกินกว่า 60%

พวกนักวิจารณ์ชี้มานานแล้วว่า ระบบเช่นนี้ลิดรอนสิทธิของชาติที่มีประชากรมากๆ อย่างเช่นจีนและอินเดีย เพราะพลเมืองของ 2 ประเทศนี้รวมกันแล้วก็เป็นตัวเลขมากกว่า 2,300 ล้านคน จากจำนวนพลโลกทั้งสิ้น 7,000 ล้านคน ทว่ากลับมีคะแนนเสียงน้อยกว่าประเทศอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ หรือฝรั่งเศส

ยิ่งเมื่อปรากฏว่า จีน อินเดีย ตลอดจนชาติกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชีย กำลังเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว ความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ย่อมยิ่งมองเห็นได้ถนัดถนี่

อย่างไรก็ดี สิ่งที่สหรัฐฯกำลังเคลื่อนไหวให้แก้ไข มิใช่การให้เพิ่มโควตาทรัพยากรของไอเอ็มเอฟ โดยรักษาการปลัดกระทรวงการคลังสหรัฐฯอ้างเหตุผลว่า เนื่องจากฐานะทางการเงินในปัจจุบันของไอเอ็มเอฟแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว

สิ่งที่วอชิงตันตั้งใจจะผลักดัน คือ ยินยอมให้มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนโควตาที่บรรดาชาติสมาชิกถือครองอยู่ในปัจจุบัน แต่ยอดรวมโควตาทรัพยากรของไอเอ็มเอฟยังคงเท่าเดิม

เมื่อแผนการของวอชิงตันเป็นเช่นนี้ นักวิเคราะห์จำนวนมากจึงมองว่า ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปของสหรัฐฯเอาเข้าจริงก็เป็นเพียงยุทธวิธีในการรักษาอิทธิพลเอาไว้ภายในองค์การโลกบาลทางการเงินเอาไว้เท่านั้น

"สหรัฐฯกำลังจะให้ประเทศเอเชียมีสิทธิมีเสียงในไอเอ็มเอฟเพิ่มขึ้น ด้วยการยอมให้พวกเขาได้เพิ่มสัดส่วนโควตา ทว่าโดยที่สหรัฐฯเองก็ยังคงรักษาฐานะผู้ถือหุ้นซึ่งครอบงำคนอื่นเอาไว้ได้" ริก โรว์เดน เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายขององค์การแอคชั่นเอด อินเตอร์เนชั่นแนล ยูเอสเอ ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน วิเคราะห์แจกแจง

"พวกเขากำลังพูดว่า 'โอเค โอเค เราจะให้พวกคุณมีสิทธิมีเสียงขึ้นมาหน่อยในไอเอ็มเอฟ' ทว่ากระทรวงการคลังสหรัฐฯไม่ได้กำลังจะยอมยกร้านให้ และสละการมีฐานะครอบงำในบอร์ดไอเอ็มเอฟเลย" โรว์เดนชี้

"ดังนั้น จริงๆ แล้วมันจึงเป็นยุทธศาสตร์แห่งการดึงเอาเข้ามาเป็นคนวงในมากขึ้น เพื่อจะได้เป็นพวกของตนต่อไป และจริงๆ แล้วมันจึงเป็นการเปิดฉากโจมตีเข้าใส่แนวความคิดจัดตั้งกองทุนการเงินแห่งเอเชียนั่นแหละ" เขาย้ำ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us