เอกชนเห็นดีรัฐนำกฎหมายความลับทางการค้ามาใช้ เชื่อมีผลทำให้การประกอบธุรกิจได้รับความคุ้มครองดีขึ้น
พร้อมแนะควรทำประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ เพราะเอกชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้าใจในกฎหมายดังกล่าวดีพอ
ขณะที่วงการโฆษณาหวั่นสูญเสียโอกาสทางธุรกิจและเกิดปัญหาหากย้ายค่ายทำงาน
นายอาชว์ เตาลานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เอกชนมีความเห็นด้วยกับการที่กระทรวงพาณิชย์ได้นำพ.ร.บ.ความลับทางการค้ามาใช้
เพราะเป็นผลดีกับผู้ประกอบธุรกิจที่จะมีช่องทางในการรักษาความลับในการประกอบธุรกิจไว้ได้
หลังจากที่ผ่านๆ มา การประกอบธุรกิจมักจะมีปัญหาความลับทางธุรกิจรั่วไหลเนื่องจากไม่มีช่องทางการป้องกัน
แต่หลังจากที่กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว การนำเอาความลับของธุรกิจไปใช้จะได้รับการคุ้มครองดีขึ้น
หากผู้ประกอบธุรกิจมีความเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
“เอกชนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าในการประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม
ล้วนแต่มีความลับในการประกอบธุรกิจอยู่ แต่ที่ผ่านมาการจะรักษาความลับตรงนี้
บางทีทำได้ยาก เพราะเอกชนไม่รู้ว่าจะใช้อะไรเข้ามาป้องกันเพราะไม่มีอะไรบังคับ
จึงต้องหาทางป้องกันความลับทางธุรกิจด้วยตนเอง แต่เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ช่องว่างตรงนี้ก็หมดไปเพราะเอกชนผู้ทำธุรกิจจะสามารถใช้กฎหมายนี้มาป้องกันความลับในการประกอบธุรกิจของตนเองได้ หากทำตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด” นายอาชว์กล่าว
นายอาชว์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายใหม่ เอกชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้าใจในกฎหมายฉบับนี้อย่างดีพอ
และบางครั้งไม่รู้ว่าจะใช้กฎหมายฉบับนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจได้อย่างไร
จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ที่เป็นผู้บังคับใช้ตามกฎหมาย
จะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ภาคธุรกิจมีความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ ว่าเขาจะได้รับความคุ้มครองหรือจะได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้อย่างไร
และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
“ถ้ารัฐโหมประชาสัมพันธ์ให้มากนักธุรกิจก็จะได้เข้าใจว่าในการประกอบธุรกิจของเขาเขาจะต้องหาทางรักษาความลับเอาไว้
จะได้มีความระมัดระวังในการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น เพราะหากความลับทางธุรกิจถูกคู่แข่งขโมยไปอาจจะเป็นผลเสียต่อการประกอบธุรกิจได้
หรือถ้าไม่อยากให้ปัญหานี้เกิดขึ้น ก็ต้องหาทางในการป้องกันความลับโดยอาศัยเงื่อนไขตามกฎหมายมาใช้”
นายอาชว์กล่าว
ส่วนผลเสียจากการมีกฎหมายฉบับนี้ นายอาชว์ กล่าวว่า ภาคเอกชนเห็นว่าไม่มี
เพราะเป็นกฎหมายที่ร่างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจประกอบธุรกิจได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น
และไม่เป็นการปิดกั้นใครแต่เป็นการส่งเสริมให้คนทำธุรกิจมีความระมัดระวัง
ในการประกอบธุรกิจ และถือเป็นการสร้างรากฐานในการทำธุรกิจที่ดี
ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศในที่สุด
ส.โฆษณาฯหวั่นเสียโอกาสธุรกิจ
ด้านนายปราเมศร์ รัชไชยบุญ นายกสมาคมธุรกิจโฆษณาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกฎหมายฉบับนี้ว่า
จะส่งผลต่อวงการโฆษณาในหลายกรณี เช่น
หนึ่ง ประเด็นเรื่องความลับของข้อมูล ที่ต้องแยกให้ออกว่าข้อมูลใดคือความลับของลูกค้าและข้อมูลใดที่เป็นความลับของเอเยนซี่
เพราะการเสนองานกับลูกค้าแต่ละครั้งจะมีข้อมูลของเอเยนซี่โฆษณาที่คิดขึ้นมาเองและอีกส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลจากลูกค้า
ซึ่งที่ผ่านมาทำให้เกิดปัญหาคู่วงการเอเยนซี่ก็คือ ลูกค้าขโมยความคิดของเอเยนซี่ไปปรับใช้ในการโฆษณาเอง
สอง การรับงานลูกค้าที่เป็นคู่แข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา มีลูกค้าเป็นจำนวนมากที่ไม่ต้องการให้เอเยนซี่รับลูกค้าที่เป็นคู่แข่งขัน
ซึ่งบางครั้งทำให้เอเยนซี่เสียโอกาสทางธุรกิจ ยิ่งกรณีที่ลูกค้าเลิกสัญญาไปก่อนครบกำหนด
สาม ข้อกำหนดในสัญญาจ้างงานจะส่งผลต่อโอกาสการทำงานของคนในวงการเอเยนซี่
นายปราเมศร์ กล่าวว่า คนในวงการโฆษณาเกรงว่าบริษัทเอเยนซี่จะมีข้อผูกมัดในการเซ็นสัญญาจ้างงาน
เช่น เมื่อลาออกจากบริษัทแล้วจะต้องไม่ไปทำงานในบริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันอย่างน้อย
1 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เอาความลับทางการค้าไปเปิดเผย แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันคนในวงการเอเยนซี่มีการย้ายค่ายกันตลอดเวลาโดยไม่มีปัญหา
เพราะไม่มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องความลับทางการค้า
“ผมเกรงว่าหากเอเยนซี่หลายแห่งทำข้อสัญญาในการเข้าทำงานในเอเยนซี่ใหม่ จะส่งผลต่อคนโฆษณาที่ต้องทิ้งช่วงการทำงาน
ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นเพราะเชื่อว่าคนในวงการเอเยนซี่มีจรรยาบรรณมากพอที่จะรักษาความลับของลูกค้าเอาไว้ได้”
นายกสมาคมธุรกิจโฆษณาแห่งประเทศไทย กล่าว
ขณะที่นางมาลาทิพย์ คุณวัฒนา กรรมการผู้จัดการบริษัทเดนท์สึ แอนด์ รูบิแคม
จำกัด กล่าวว่า กฎหมายนี้จะส่งผลดีและช่วยพัฒาวงการโฆษณามีมาตรฐานมากขึ้น
และช่วยคุ้มครองผลงานโฆษณาตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จเป็นชิ้นงานโฆษณาออกจาก
ซึ่งรวมถึงการวิจัย สร้างสรรค์ผลงาน การผลิตจนเป็นผลงานโฆษณาที่สมบูรณ์แบบ
ซึ่งจะทำให้นักโฆษณาไม่ขโมยความคิดของกันและกัน
ไพร้ซฯเชียร์สุดใจ
นายศิริพงษ์ ศุภกิจจานุสรณ์ หุ้นส่วนสายงานสำนักกฎหมาย ‘ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์
คูเปอร์ส’ กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า แม้ปัจจุบันไทยจะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับด้วยกัน
อาทิ พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า-เครื่องหมายบริการ
ฯลฯ แต่ก็ยังถือว่าไม่ครอบคุมการประดิษฐ์คิดค้นต่างๆ ได้อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ถึงขั้นที่จะต้องขอรับสิทธิบัตร
ดังนั้นเมื่อพ.ร.บ.ความลับทางการค้าถูกนำมาใช้ จึงถือเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถใช้เป็นมาตรการ
ในการคุ้มครองผู้ประกอบการได้อย่างรอบด้านมากขึ้น ที่สำคัญคือมีกระบวนการลงโทษและค่าปรับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับกฎหมายเดิมที่มีอยู่
เช่น ถ้าเป็นบุคคลทั่วไป มีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท แต่ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยราชการ
มีโทษจำคุก 5-7 ปี ปรับตั้งแต่ 500,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์จูนรายงานเอาไว้ชัดเจนว่า ในแต่ละปีมูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการนำความลับทางการค้าไปเผยแพร่ของทั่วโลกนั้นสูงถึง
45 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว โดยครึ่งหนึ่งคือ 50% เป็นข้อมูลที่รั่วไหลไปจากกิจการไฮเทค
ส่วนอีก 30% เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับวิชาชีพต่างๆ ส่วนในไทยยังไม่เคยมีการเก็บตัวเลขอย่างเป็นทางการชัดเจน
“ผมคิดว่า การที่ไทยออกกฎหมายฉบับนี้มา มีประโยชน์มาก เพราะผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการคิดค้นจะเบาใจได้เยอะขึ้นว่า
สิ่งที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นมา แม้จะยังไม่ถึงขีดสุดที่จะได้รับสิทธิบัตรหรือลิขสิทธิ์
แต่ก็ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้า”
อย่างไรก็ตาม นายศิริพงษ์ก็ยอมรับเช่นกันว่า การที่จะเข้าข่ายและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายนี้
บริษัทต่างๆ จะต้องสร้างมาตรการชั้นความลับเพื่อให้เข้าข่ายตามองค์ประกอบเสียก่อน
เช่น บริษัทอาจจะมีการทบทวนและเซ็นสัญญาจ้างกับพนักงานใหม่ทั้งหมด หรือกรณีที่เป็นบริษัทรับจ้างโฆษณาก็จะต้องระบุทุกครั้งเมื่อนำงานไปเสนอว่า
ข้อมูลตรงไหนบ้างที่ถือว่าเป็นความลับทางการค้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำแนวคิดไปใช้โดยพละการ
ขณะที่กลุ่มบริษัทที่รับจ้างผลิตสินค้า ก่อนที่จะรับจ้างผลิตสินค้าอะไร ก็จะต้องมีการเซ็นสัญญาเพื่อความปลอดภัยทุกครั้งเพื่อป้องกันตนเอง
เป็นต้น