Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 สิงหาคม 2545
หวั่นหนึ้บัตรเครดิตก่อวิกฤตการเงิน             
 


   
search resources

Credit Card




ยอดสมาชิกบัตรพลาสติกพุ่งไม่หยุด คาด อีกสองปีทะลัก 4.5 ล้านใบ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติผวามรสุมหนี้ทำคนไทยระดับล่างกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เสนอรัฐบาลออกมาตรการควบคุมการออก บัตรเครดิตทั้งของสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงิน ติดดาบให้แบงก์ชาติสามารถดูแลธุรกิจบัตรเครดิตได้ทั้งหมด ขณะที่เลขาฯสภาพัฒน์ ก็ผวาภัยสงคราม-ราคาน้ำมันถีบ ตัวสูงจะทำให้เศรษฐกิจผันผวนได้จึงคงตัวเลขเศรษฐกิจโตที่ 3.5-4% ไม่คล้อยตามคลัง

แม้ว่าทิศทางโดยรวมของภาวะเศรษฐกิจไทยขณะนี้จะดีขึ้น แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลบางมาตรการ อาจจะย้อนกลับมาทำลายเศรษฐกิจได้ภายหลัง โดยเฉพาะหนี้เสียส่วนบุคคลผลจากการขยายตัวของบัตรเครคิตอย่างรวดเร็ว

ในการประชุมสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วันนี้ (29 ส.ค.) ได้พิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะทำงานกิจการสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับ"นโยบายการเงินเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ" และเห็นชอบให้นำเสนอรัฐบาลเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป

ผู้แทนคณะทำงานการบริการและการท่องเที่ยว ได้รายงานต่อที่ประชุมสภาที่ปรึกษาฯ ว่า ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีการกระตุ้นการบริโภคภาย ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่ดีในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในหลายๆมาตรการ รวมทั้งการออกบัตรเครดิตที่ลดเงื่อนไขการกำหนดรายได้ขั้นต่ำ จนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งเสมือนเป็นการปล่อยสิน เชื่อรายย่อย และผ่อนชำระในอัตราดอกเบี้ยสูง

ปัจจุบันพบว่า มีผู้ถือบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยตัวเลขในเดือน มี.ค. 2545 มีบัตรเครดิตที่ออก โดยธนาคารพาณิชย์จำนวน 2.68 ล้านบัตร มียอดสินเชื่อคงค้าง 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค. 2544 กว่า 8 แสนบัตร และยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นกว่า 9 พันล้านบาท และคาดว่าบัตรเครดิตจะเพิ่ม ขึ้นเป็น 4.5 ล้านบัตรภายใน 2 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ การใช้บัตรเครดิต ส่วนมากจะเป็นการกู้เงินไปใช้จ่ายโดยไม่เกิดผลผลิต และต้องชำระดอกเบี้ยสูงเฉลี่ยกว่า 20% อาจจะเป็นผลให้ผู้ถือบัตรมีหนี้สินทับถมกลายเป็นบุคคลล้มละลายได้ และหากมีจำนวนมากจะกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องทางสังคมและเศรษฐกิจ ดังที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว

ดังนั้น คณะทำงานฯจึงมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอ ต่อเรื่องดังกล่าว คือ

1. รัฐบาลต้องมีมาตรการทางการเงินที่เข้มงวด กับธุรกิจบัตรเครดิตที่ผ่านระบบสถาบันการเงินและธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1.1 ไม่ควรมุ่งหวังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการออกบัตรเครดิตให้ประชาชนใช้จ่ายมากๆ ซึ่ง เป็นการใช้จ่ายล่วงหน้า ถ้าหากผู้กู้มีรายได้ไม่ต่อเนื่อง ก็จะเกิดเป็นวิกฤตรอบใหม่ที่จะเกิดกับประชาชนโดย ตรง, 1.2 ให้มีการกำหนดรายได้ขั้นต่ำของผู้ขอมีบัตรเครดิตในระดับที่ไมˆต่ำจนเกินไป และ 1.3. ให้บัตรเครดิตทุกประเภทอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานเดียวคือธนาคารแห่งประเทศไทย

2. รัฐบาลควรจะมุ่งเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายกับผู้ ที่มีเงินออม ให้ออกมาใช้จ่ายมากกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

3. รัฐบาลควรจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมุ่งเน้นการส่งออกเพื่อนำเงินตราเข้าประเทศให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ต่างจากการกระตุ้นการบริโภคจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้นเท่านั้น

สคช.ผวาสงคราม-ราคาน้ำมัน ป่วนภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

ด้านนายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)ในฐานะกรรมการธนาคาร แห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการธปท.ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ฟื้นตัวเล็กน้อยอย่างเป็นที่น่าพอใจโดยเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาไม่มีปัจจัยใดที่น่ากังวล

"โดยรวมก็ยังดีอยู่ ไม่มีตัวไหนแกว่งมากจนผิด ปกติ ยกเว้นพวกหุ้นแต่ก็ไม่ถือว่าผิดปกติ ซึ่งผมคิด ว่าอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คลังปรับเป้าเศรษฐกิจก็ได้"

ด้านการประมาณการเศรษฐกิจ ของสภาพัฒน์เองนั้น นายจักรมณฑ์กล่าวว่าตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4% เช่นเดิม ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 นี้จะมากกว่าหรือน้อยกว่า 3.9% ซึ่งเป็นตัวเลขในไตรมาสแรก ไม่เกิน 0.3% โดยในวันที่ 17 ก.ย. นี้จะมีการแถลงตัวเลขจริงของเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 และประมาณการตลอดทั้งปี และหากไม่มีปัจจัยตัวใดเปลี่ยนแปลงคาดว่าไม่น่าจะมีการปรับประมาณการ

เลขาฯสภาพัฒน์ กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือนก.ค. นั้นคาดว่าน่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 0.3% ซึ่งไม่ถือว่าต่ำจนกลายเป็นเงินฝืด

"เงินเฟ้อน้อยมากไม่ได้แปลว่าเงินฝืด เพราะอาจมีสาเหตุมาจากการแข่งขันในตลาดเงินเฟ้อโลกต่ำ การส่งออกถูกกดราคาเพราะเราต้องใช้ปริมาณมากเพื่อรักษายอดขาย ยอดขายรถยนต์ที่เพิ่ม เหล่านี้เป็น ตัวกดเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่ฝืด เงินฝืดหมายถึงการชะงักการจับจ่ายใช้สอย"

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนนั้น นายจักรมณฑ์ กล่าว ว่าไม่อ่อน แต่ไม่ถึงกับแข็งค่า ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำ

นายจักรมณฑ์กล่าวถึงสิ่งที่คณะกรรมการธปท. แสดงความเป็นห่วงว่าจะเป็นปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อ การขยายตัวของเศรษฐกิจคือสงครามระหว่างสหรัฐฯกับตะวันออกกลางแต่คาดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการส่งสินค้าออกที่เริ่มลำบาก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาสภาพัฒน์ได้ ประมาณการส่งออกทั้งปีเผื่อไว้แล้วที่ 1.7% จึงคาดว่า ไม่น่าจะกระทบตัวเลขเศรษฐกิจ
ส่วนประมาณการเศรษฐกิจในปี 46 นั้น นายจักรมณฑ์คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 4-4.5% "ที่ดีที่สุดของไทยตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะอยู่ที่ 5% แต่ถ้าไม่ถึงก็ค่อยยืดการชำระหนี้ออกไปอีกหน่อยแต่ถ้าเกินกว่านั้นก็ไม่ดีเหมือนกันเพราะพื้นฐานเราไม่ แข็งแรงพอ" เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว ก่อนหน้านี้ 1 วัน กระทรวงการคลังได้แถลงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจใหม่โดยเห็นว่า เศรษฐกิจจะเติบโตสูงกว่าที่คาดไว้ 3.5% ภายในปีนี้เป็น 4-4.5% และในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะเติบโตสูงถึง 4.9%

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us