"แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" โชว์ยอดขายสูงสุด เป็นประวัติการณ์ 6,040 ล้านบาท ในขณะที่กำไรลดลงทำได้เพียง 1,441 ล้านบาท ระบุสาเหตุการแข่งขันสูง-ต้นทุน เพิ่ม เล็งขยายลงทุนเพิ่มหลังมาตรการภาษีกองทุนอสังหาฯ สิ้นสุดกลางปีหน้า ล่าสุดดึงกลุ่มทุนสิงคโปร์ซื้อบริษัทรอยัลเอ็คเซ็ลเล็นซิ เจ้าของอาคารสร้างค้างด้านหลังศูนย์การค้า เพนนินซูลา เตรียมเปิดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ ปีหน้าลุยปิดคอนโดฯ 2-3 ล้านบาท ย่านอ่อนนุช
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือ LH เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2548 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายบ้านทั้งสิ้น 6,040 ล้านบาท เพิ่ม ขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา 37.58% ซึ่งยอดขายจำนวนดังกล่าวถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับจากก่อตั้ง บริษัทมา ทั้งนี้ บริษัทเคยมีสถิติยอดขายสูงสุดเมื่อไตรมาส 4/2548 มียอดขายรวม 5,500 ล้านบาท
แม้ว่าบริษัทจะมียอดขายสูงสุด แต่มีอัตรากำไรขั้นต้น 1,441 ล้านบาท หรือ 34.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2548 มีอัตรากำไรขั้นต้น 33.4% แต่ยังต่ำกว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2547 ที่มีจำนวน 1,745 ล้านบาท หรือ 38.9% ทั้งนี้อัตรากำไรดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันของธุรกิจที่มีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งต้นทุนการพัฒนาเพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตราการทำกำไรลดลง
นายอดิศรกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 บริษัทได้ร่วมกับกลุ่มนักลงทุนชาวสิงคโปร์ ในเครือ GIC สัดส่วนการลงทุน 60 : 40 เข้าซื้อบริษัทรอยัล เอ็คเซ็ลเล็นซิ จำกัด เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 260 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินทุนของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 156 ล้านบาท และกลุ่มทุนสิงคโปร์ 104 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวเป็นเจ้าของตึก สร้างค้างด้านหลังศูนย์การค้าเพนนิซูล่า โดยบริษัท มีแผนที่จะพัฒนาอาคารดังกล่าวเป็นเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 2,500 ล้านบาท แล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะใช้บริษัทรอยัล เอ็คเซ็ลเล็นซิฯ ดำเนินการในส่วนของธุรกิจ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในอนาคต แทนการลงทุนใน กองทุนอสังหาฯ เนื่องจากในกลางปี 2549 สิทธิพิเศษด้านภาษีของกองทุนอสังหาฯจะหมดลง อีก ทั้งกองทุนอสังหาฯ ยังมีข้อเสียที่ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการได้ ทำให้บริษัทหันมาลงทุนดังกล่าวแทน ส่วนการลงทุนในกองทุนอสังหาฯนั้นก็จะยังคงดำเนินการต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีสินทรัพย์ที่ถืออยู่ 5 อาคาร และขณะนี้ อยู่ระหว่างหาอาคารมาเพิ่มอีก 2 อาคาร หากได้สินทรัพย์ที่ดีและราคาที่เหมาะสมก็จะซื้อเข้ามา
นายอดิศรกล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังส่งลูกค้า ของบริษัทให้ธนาคารไทยพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อตามปกติ แม้ว่าบริษัทจะจัดตั้งธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อยแล้วก็ตาม เนื่องจากใน ช่วงแรกธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ฐานทุนที่ต่ำ หากบริษัทจะดึงลูกค้ากลับมาให้บริการสินเชื่อเองก็จะดึงกลับมาบางส่วนเท่านั้น โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่ใช้บริการเงินสด 20% ที่เหลือเป็น ลูกค้าเงินกู้ประมาณ 80% ซึ่งในส่วนนี้เป็นลูกค้าเงินกู้ของธนาคารไทยพาณิชย์ประมาณ 50% ในส่วนของลูกค้าของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่เป็นลูกค้าของบริษัทนั้นจะได้รับบริการที่พิเศษ กว่าลูกค้ารายอื่น โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ค่าธรรมเนียมราคาถูก และได้รับการอำนวยความ สะดวกมากกว่า
ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเงินลงทุนเพื่อซื้อที่ดินสำหรับการก่อสร้างโครงการในปี 2549 ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ใช้เงินซื้อที่ดินไปแล้ว 1,000 ล้านบาท เงินลงทุนสำหรับธุรกิจอื่น ๆ อีกประมาณ 1,500 ล้านบาท ขณะนี้ได้ใช้เงินลงทุนในการจัดตั้งธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประมาณ 600 ล้านบาท ลงทุนในบริษัท รอยัล เอ็คเซ็ลเล็นซิ ประมาณ 156 ล้านบาท ซึ่งภายในปีนี้บริษัทจะต้องทยอยจ่ายเงินเพิ่มเข้าไปอีก สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดและเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้เมื่อช่วงต้นปีผ่าน ครึ่งปีหลังอสังหาฯชะลอตัวชัดเจน
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ประเมินว่า คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะมีที่อยู่อาศัยจดทะเบียนประมาณ 68,000 หน่วย หรือเติบโตจากปี 2547 ประมาณ 10% สำหรับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ใน ครึ่งปีหลังเริ่มมีความชัดเจนขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวลงทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายในอนาคต ส่งผลให้ลูกค้าที่เข้าชมโครง การของบริษัทลดลงประมาณ 15% แต่ลูกค้าที่เข้ามา เป็นผู้ที่ต้องการซื้อบ้านจริงทำให้อัตราการขายเร็วขึ้น
สำหรับการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันโดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล ได้ส่งผลให้ต้นทุนของวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะทำให้ต้นทุนบ้านเพิ่มขึ้น 8-10% และคาดว่าราคา บ้านในตลาดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7-8% ในส่วนของบริษัทนั้นการตั้งราคาจะแตกต่างจากธุรกิจที่ตั้งราคาตามต้นทุน เนื่องจากเป็นบ้านสร้างเสร็จ ก่อนขาย การตั้งราคาจึงตั้งบนพื้นฐานของความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทจะรุกเข้าสู่ตลาด คอนโดมิเนียมในระดับ 2-3 ล้านบาท สำหรับโครงการแรกบริเวณสุขุมวิท 71 ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อ่อนนุช ขนาด 2-3 อาคาร จำนวน 300 ยูนิต ส่วนแผนการพัฒนาในครึ่งปีหลังเปิด 10 โครงการ จำนวน 8,131 ยูนิต มูลค่าโครงการ รวม 24,412 ล้านบาท โดยทั้งปีบริษัทเปิด 13 โครงการมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท บริษัท ยังเชื่อมั่นว่าทั้งปีจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้า ที่วางไว้ เติบโตประมาณ 15% จากปี 2547 ที่มียอด ขายประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นยอดขาย จากโครงการใหม่ 20-30% โครงการเก่า 70-80%
|