ยำยำ รุกขยายตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเดินหน้าปรับโครงสร้างทีมขาย หวังปิดจุดอ่อนที่มีสินค้าวางขายไม่ครอบคลุม
ทุกพื้นที่ พร้อมลงทุนเพิ่ม 150-200 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตอีก 20-25%
หวังเพิ่มส่วนแบ่งการ ตลาดเป็น 20-25% ของมูลค่าตลาด 9,000 ล้านบาท ในปลายปีนี้
และเพิ่มเป็น 30% ในอีก 3 ปี
นายพิเชียร คูสมิทธิ์ กรรม การผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะเซลส์ (ประเทศไทย)
จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์"ยำยำ" และนูดเดิล ดี และนายมาโคโตะ
มูราบายาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยำยำ
ร่วมกันเปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมี นโยบายที่จะรุกตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น
จากที่ในอดีตการทำตลาดจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งได้มีการปรับโครงสร้างทีมขายใหม่
เพื่อให้สามารถวางสินค้าจำหน่ายได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพราะในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีจุดอ่อนที่วางสินค้าจำหน่ายได้เพียง
80% ของช่องทางการขายทั้งหมด ทั้งในโมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เกต คอนวีเนียนสโตร์
รวมถึงร้านค้าย่อยทั่วไป
ซึ่งการวางจำหน่ายสินค้าไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้บริษัทสูญเสียโอกาสในการสร้างยอดขาย
แม้ว่าจากการวิจัยของบริษัทพบว่ายำยำรสต้มยำกุ้ง จะได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภค
และมากกว่าคู่แข่งก็ตาม แต่หากผู้บริโภคไปเลือกซื้อแล้วไม่มีสินค้าก็จะเลือกซื้อของคู่แข่งทันที
ซึ่งทำให้บริษัทเสียโอกาสในการขายและยังเปิดทางให้คู่แข่งขันมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
"บริษัทยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีจุดอ่อนเรื่องจุดขาย แต่ในปีนี้จะปิดจุดอ่อนทั้งหมด
รวมทั้งเพิ่มจุดแข็งด้วยการปรับโครงสร้างทีมขาย เพื่อเข้าถึงร้านค้าโดยตรง
และพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งรสชาติใหม่ๆ และนวัตกรรมใหม่"
นายพิเชียรกล่าว
สำหรับการปรับโครงสร้างทีมขายนั้น จากเดิมทีมขายจะต้องขายสินค้าของอายิโนะโมะโต๊ะเซลส์
ทั้งหมด แต่ขณะนี้บริษัทได้เริ่มปรับทีมขายใหม่ด้วยการแยกทีมขายเฉพาะยำยำออกมาจากทีมขายรวม
ซึ่งปัจจุบันมีทีมขายทั้งหมดมากกว่า 200 ทีม และจะเพิ่มเป็น 300 ทีม ๆ ละ
2 คน ภายในปลายปีนี้ ในจำนวนนี้ เป็นทีมขายเฉพาะยำยำ คิดเป็นสัดส่วน 50%
ของจำนวนทีมทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 50% เป็นทีมขายสินค้ารวมเช่นเดิม ซึ่งหลังจากที่ใช้โครงสร้างทีมขายใหม่แล้ว
คาดว่าจะสามารถวางสินค้าได้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น
นายพิเชียร กล่าวอีกว่า ในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่ม 150-200 ล้านบาท
เพื่อขยายกำลังการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ในโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน
ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 20-25% จากกำลังการผลิตในปัจจุบัน เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร
โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 20-25% ภายในปลายปีนี้ จากที่ขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่
16-18% ของมูลค่าตลาดรวม 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่เติบโตขึ้นจากปีก่อน
8-10% และมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 30% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
นอกจากการขยายกำลังการผลิตแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะออกสินค้าในรสชาติใหม่อีกด้วย
เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยภายในปีนี้ จะออกยำยำ รสชาติใหม่อีกอย่างน้อย
3-4 รสชาติ ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ได้ออกรสชาติ ใหม่แล้ว 3 รสชาติ ได้แก่
รสหมูตุ๋นพริกเผา รสลาบ และล่าสุด รสต้มยำกุ้ง แบบก้อนกลม จากที่ในอดีตผลิตแบบก้อนเหลี่ยม
ทั้งนี้ ในช่วงปกติ บริษัทจะออกรสชาติใหม่เฉลี่ยที่ปีละ 2-3 รสชาติเท่านั้น
"บะหมี่แบบก้อนกลม ถือเป็นนวัตกรรมใน วงการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยยำยำเป็นรายแรกที่พัฒนาเส้นในรูปแบบนี้
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการปรุง เพราะก้อนกลมจะช่วยให้เวลา เติมน้ำ
พอดีชาม ไม่จำเป็นต้องหัก"
ด้านงบการตลาดในปีนี้ บริษัทจะใช้งบดังกล่าวมากกว่าปีก่อน เพราะต้องการขยายตลาดอย่างจริงจัง
ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณไว้มากกว่า 300 ล้านบาท ทั้งจัดรายการส่งเสริมการขาย
รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยในปีก่อน ใช้งบเพียง 200 ล้านบาทเศษเท่านั้น
ซึ่งในปีนี้ บริษัทจะเน้นการสร้างการรับรู้ในรสชาติใหม่แก่ผู้บริโภค ล่าสุดได้จับมือกับร้านขายอาหาร
ประเภทลาบ ซึ่งเป็นอาหารอีสาน ด้วยการจัดรายการ"ซื้อลาบ ได้ลาบ"
โดยจะแจกสินค้าตัวอย่าง คือ ยำยำรสลาบแก่ลูกค้าที่สั่งลาบในร้านอาหาร ซึ่งมีเป้าหมายจะจัดรายการ
ร่วมกับร้านอาหาร จำนวน 200 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ ส่วนตลาดต่างจังหวัด อยู่ระหว่างการ
พิจารณาความเป็นไปได้
นายมาโคโตะ กล่าวอีกว่า นอกจากการขยายตลาดในประเทศแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะขยายตลาดส่งออกด้วย
ซึ่งจะขยายตลาดในประเทศใหม่ๆ จากปัจจุบันส่งออกไปมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
โดยมีตลาดหลักอยู่ที่ยุโรป และเอเชีย ขณะเดียวกัน ก็จะเพิ่มรสชาติใหม่ที่ยังไม่เคยส่งออกด้วย
เช่น รสสุกี้ ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา ก็อยู่ระหว่างการเตรียมการส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย
ซึ่งคาดว่าจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภค
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีผ่านมา ยำยำมีอัตราการเติบโตขึ้น
15% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 20% ในช่วงครึ่งปีหลัง
ซึ่งในปีก่อนมียอดขายรวมทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท
แบ่งเป็นตลาดในประเทศมากกว่า 80% ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 20% เป็นยอดขายจากการส่งออก
และตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 20% ทั้งตลาดในและส่งออก