ผู้ที่เคยสัมผัสวาเลนเซียมาแล้ว ต่างไม่ปฏิเสธสมญานาม "หาดดอกส้ม" (Coast of the
Orange Blossoms) ของนครใหญ่อันดับ 3 ของสเปน โดยเฉพาะเมื่อไปโดยเส้นทางรถไฟจะเห็น
ป่าส้มกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทอดตัวไปตามแนวชายฝั่งทะเล
"ส้ม" ยังมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ของวาเลนเซีย มาโดยตลอด ตัวอย่างเด่นๆ
เห็นจะเป็นสถานีรถไฟของนครแห่งนี้ซึ่งสร้างโดย Demetrio Ribes ระหว่างปี
1906-1917 และได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟดีที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน เมื่อพินิจพิจารณาให้ถ้วนถี่จะเห็นว่าทั้งโมเสก
กระจกสี และงานโลหะประดับตามทางเดินล้วนมีลวดลายของผลส้มเล็กๆ น่ารักอยู่ทั้งสิ้น
เพราะรายได้จากส้มเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนการก่อสร้างสถานี รวมทั้งการขยายเมืองในช่วงทศวรรษที่
19 ก็ได้แหล่งทุนจากส้มอีกเช่นกัน
ข้อมูลจากนิตยสาร Wallpaper ฉบับเดือนมิถุนายนพูดถึงเหตุผล หนึ่งที่วาเลนเซียไม่สนใจจะประชาสัมพันธ์ตัวเองให้ครึกโครมอะไรมากนัก
ก็เพราะไม่จำเป็นต้องพึ่งงบบูรณะซ่อมแซมอะไรมากเป็นพิเศษ แถม ยังเป็นหนึ่งในนครร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของสเปนอีกต่างหาก
ท่าเรือวาเลนเซียนั้น ได้ชื่อว่าเป็นท่าเรือที่มีเรือคอนเทนเนอร์เข้าเทียบท่าหนาแน่นที่สุดของคาบสมุทรไอบีเรีย
และเป็นหนึ่งในเมืองท่าใหญ่ ที่สุด และเป็นจุดเชื่อมโยงที่ดีที่สุดในการติดต่อกับฉนวนช่องแคบยิบรอลต้า-คลองสุเอซ
ความมั่งคั่งของนครแห่งดอกส้มหาใช่จะมาจากทะเลเพียง แหล่งเดียว แต่มาจากผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์อีกด้วย
เพราะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบน้ำท่วมถึงของแม่น้ำตูเรีย ทำให้วาเลนเซียเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญยิ่ง
เพื่อเลี้ยงประชากรกว่า 800 หัวต่อตารางกิโลเมตร ถือเป็นสถิติประชากรในชนบทหนาแน่นที่สุดของยุโรป
และเป็นแหล่งประชากรหนาแน่นของสเปนจากที่มีประชากรอาศัยอยู่รวมกัน คิดเป็น
1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ และสามารถสร้างผลผลิตได้ถึง 14% ของยอดส่งออกรวมของสเปน
กระนั้นก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมาวาเลนเซียมักจะถูกมองข้ามความ สำคัญเสมอ แต่มาวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
วาเลนเซีย กลายเป็นเมืองท่าจอแจแออัด เต็มไปด้วยแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ผสมผสาน
กับรสนิยมในสถาปัตยกรรมมูลค่ามหาศาล ที่สำคัญชาวเมืองนี้มีเงินอัดฉีดสนองความต้องการของตนเองแบบไม่อั้นเสียด้วยซี