อสังหาฯชะลอตัว เมกะโปรเจกต์เลื่อน ต้นทุนผลิตพุ่ง ปูนกลางระบุตลาดปูนหดตัวเหลือ 10% จากเดิมประมาณการ 12% พุ่ง เป้าเพิ่มสัดส่วนส่งออกจาก 30% เป็น 35% แจงครึ่งปีแรกกำไรสุทธิ 2,372 ล้านบาทจากยอดขาย 11,384 ล้าน บาท เติบโต 14% คาดปี 49 ตลาด รวมโต 8-10% หวังตลาดอสังหาฯ กลาง-ล่าง เมกะโปรเจกต์ช่วยดันยอดตลาดรวม
นายลีโอ มิทเทล โฮลเซอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์ นครหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้จากการขายปูนซีเมนต์รวม 11,384 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปี 2547 ที่มียอดขาย 9,990 ล้านบาท ประมาณ 14% โดยมีกำไรสุทธิ 2,372 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 2,151 ล้านบาท คิดเป็น 10.3%
อย่างไรก็ตาม กำไรต่อดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ และ ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ของบริษัทในครึ่งปีแรกของ ปี 48 มีอัตราสูงขึ้น 3,748 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้วถือว่ามีอัตราการเพิ่มสูงขึ้นกว่าเล็กน้อย โดย ในปี 47 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 3,740 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่ในปีนี้บริษัทมี EBITDA เพิ่มสูงขึ้นจาก ปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนด้านพลังงานที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นคิดเป็น 56% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด ซึ่งต้นทุนด้านพลังงานดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นแบ่งออกเป็น ต้นทุนค่าเชื้อเพลิง 32% และค่าไฟฟ้า 24%
สำหรับต้นทุนการผลิตด้านวัตถุดิบและค่าขนส่งรวมถึงค่าพลังงานทั้งหมด เมื่อคิดเฉลี่ยรวมแล้วส่งผลให้ต้นทุนรวมในการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดทำให้ บริษัทไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐฯยังขอความ ร่วมมือให้ตรึงราคาขายไว้ในระดับเดิมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดก่อสร้าง โดยรัฐบาลขอให้มีการตรึงราคาไว้ 3 เดือน นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.-สิ้นเดือน ส.ค. นี้ ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทไม่ปรับขึ้นราคา ขายสินค้าหน้าโรงงาน ส่วนสินค้าที่ต้องขนส่งบริษัทก็มีการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนค่าขนส่งจริงที่มีการปรับขึ้นไป อย่างไรก็ตาม หลังสิ้น ก.ย.นี้บริษัทคาด ว่าจะเสนอเรื่องขอปรับราคาขึ้นต่อกรมการค้าภายใน ตามต้นทุนที่มีการปรับขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรอดูสถานการณ์ตลาดและการแข่งขันด้วย
นายลีโอ มิทเทล กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่า อัตราการขยายตัวของยอดขายจะเติบโตขึ้นจากปี 47 ถึง 10% แต่ก็ยังต่ำกว่าการประมาณการที่บริษัทวางไว้ โดยบริษัทประมาณการว่าในช่วงครึ่งปีแรกบริษัท จะมีอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 12% แต่ เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย ทำให้เกิดการชะลอตัวของกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดบ้านราคาแพงมีการชะลอตัวลง
นอกจากนี้ การชะลอการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐบาล ทำให้มีการใช้ ปูนซีเมนต์ลดลง ทำให้การขยายตัวของยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกจึงไม่เป็นไปตามคาดการณ์ไว้
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548 นี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มการส่งออกให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดการต่อ-เนื่อง และเพื่อเป็นการรักษาอัตราการขยายตัวของบริษัทไว้ให้ได้ที่ 10% ซึ่งในปี 2547 บริษัทมีสัดส่วน การขายในประเทศ 70% และตลาดส่งออก 30%
สำหรับในปี 48 นี้บริษัทมีการเพิ่มยอดส่งออก เป็น 35% และยอดขายในประเทศ 65% โดยในช่วง 6 เดือนแรกบริษัทมียอดขายรวม 6.4 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 4.1 ล้านตัน และยอดขายในต่างประเทศ 2.3 ล้านตัน โดยมียอดส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 64% ในตลาดตะวันออกกลาง
ปัจจุบันความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ มีปริมาณรวม 28 ล้านตัน และมียอดการส่งออกตลาดรวม 12 ล้านตันต่อปี ในขณะที่บริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 14.3 ล้านตันต่อปี โดยคาดว่ามียอด ขายทั้งปีรวมประมาณ 7.7 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดขายส่งออกประมาณ 3.2 ล้านตันต่อปี และยอดขายในประเทศ 4.4 ล้านตันขึ้นไป ทำให้ในปัจจุบันบริษัทยังมีกำลังการผลิตเหลืออยู่จึงไม่จำเป็นต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม
สำหรับยอดขายปูนซีเมนต์ผสมเสร็จนั้น ในปี 48 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 15-20 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกของปีบริษัทมียอดขาย10 ล้านบาท แต่เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังนี้เป็นช่วงฤดูฝนประกอบการกับชะลอตัวในตลาดอสังหาฯทำให้คาดว่าอัตราการใช้ปูนซิเมนต์ผสมเสร็จ และการก่อโครงการต่างๆ จะลดลง ทำให้เชื่อว่าใน 6 เดือนหลัง จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งก็ถือว่ายอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ คือ 15 ล้านบาท
ส่วนในปี 2549 นั้น บริษัทคาดว่าจีดีพีของประเทศจะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4% ทำให้สามารถ ประมาณอัตราการขยายตัวของการใช้ปูนซีเมนต์ในตลาดรวมจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 8-10% ซึ่งในส่วนของบริษัทคาดว่าจะมีอัตราอยู่ที่ประมาณ 8-10% เช่นเดียวกับอัตราการขยายตัวของตลาดรวม ทั้งนี้ แม้ว่าการขยายตัวของบ้านราคาแพงจะลดลงแต่ ตลาดบ้านระดับกลาง-ล่างยังมีการขยายตัวอยู่ ประกอบกับโครงการเมกะโปรเจกต์ที่มีความต้องการ ใช้ปูนซีเมนต์ยังมีอยู่อีกกว่า 60% ทำให้เชื่อว่าอัตราการขยายตัวของการใช้ปูนซีเมนต์จะช่วยให้บริษัทมียอดขายเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 8%
|