การแข็งตัวขึ้นอย่างผิดปกติของค่าเงินบาท ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่ครบรอบ
5 ปีเต็มของวิกฤติการเงินในประเทศไทย เป็นสิ่งที่สร้างความตระหนกตกใจให้กับคนหลายส่วนของประเทศ
ค่าเงินบาทในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 41 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
เปรียบเทียบกับในเดือนก่อนหน้า ที่เคลื่อน ไหวอยู่ในระดับ 43-44 บาทต่อ 1
ดอลลาร์ และถือเป็นอัตราที่ค่าเงินบาทแข็งตัวที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
ผู้ส่งออกสินค้า เริ่มกดดันรัฐบาลให้เข้ามาจัดการกับการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
หากวิเคราะห์การแข็งตัวของค่าเงินบาทในครั้งนี้ นับว่าเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ
ซึ่งมีทั้งจากปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทาง จิตวิทยา
ทางด้านปัจจัยพื้นฐาน เหตุผลสำคัญเกิดขึ้นจากการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์
ซึ่งมีที่มาจากหลายสาเหตุเช่นกัน
ในเดือนกรกฎาคม ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ล้วนบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
กำลังประสบกับภาวะถดถอย ลงมาอีกครั้ง หลังจากมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงต้นปี
ประกอบกับปัญหาความโปร่งใสในการดำเนินงานกับบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีผลทำให้เกิดการเทขายหุ้นขนานใหญ่
ตลอดจนวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ยังคงความรุนแรงอยู่ในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา
การอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้เงินสกุลในย่านเอเชียแข็งค่าขึ้นรวมทั้งค่าเงินบาท
ผนวกกับปัจจัยทางจิตวิทยา จากคำพูดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ที่กล่าวในการประชุมพรรคไทยรักไทยช่วงต้นเดือนว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นมาอยู่ในระดับ
30 บาท ได้ก่อให้เกิดแรงเก็งกำไรเงินบาท จนทำให้มีค่าแข็งขึ้นอย่างผิดปกติ
รวมถึงปัจจัยทางเทคนิคที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งแบงก์ชาติปิดทำการ
ทำให้ไม่สามารถเข้าไปแทรก แซงความผันผวนของค่าเงินบาทได้ มีผลให้ความเคลื่อนไหวของ
ค่าเงินบาทในวันที่ 25 กรกฎาคม แกว่งตัวในช่วงกว้างถึง 80 สตางค์ ต่อ 1 ดอลลาร์
และเป็นที่มาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเอ่ยปากตำหนิการดำเนินงานของแบงก์ชาติอย่างเป็นทางการผ่านทางสื่อมวลชน
อย่างไรก็ตาม แม้ปรากฏการณ์ผันผวนของค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ จะไม่ยืดเยื้อ
และค่าเงินเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคงอีกครั้งในเดือนสิงหาคม
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ช่วยจุดประกายความตื่นตัวของนักธุรกิจไทย
ให้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการทำธุรกรรม ที่ต้องอิงกับความเคลื่อนไหวของค่าเงินมากขึ้น
เพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกขณะนี้ ทำให้ทุกคนไม่สามารถวางใจได้ว่า
ค่าเงินที่นิ่งอยู่มาเป็นเวลาปีกว่า จะเริ่ม กลับมาผันผวนได้อีกเมื่อไร
กระแสเงินที่ไหลเข้าออกในแต่ละวัน มันไวเสียจนต้อง เตรียมตัวตั้งรับให้ทัน