|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ยุคเงินเฟ้อพุ่ง-ดอกเบี้ยฝากติดลบ บลจ.สบช่องแย่งฐานลูกค้าเงินฝากแบงก์ ด้วยการเปิดตัวกองทุนพันธบัตระยะสั้น 6 เดือน และ 1 ปี ยั่วน้ำลายลูกค้าที่ต้องการพักเงิน เพื่อรอจังหวะลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงิน "ไอเอ็นจี-บีที-เอ็มเอฟซี" เปิดตัวกองทุนพันธบัตร ท้าชนภายในกลางเดือนนี้ คาดผลตอบแทน 2.5-2.8% ต่อปี
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด-กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากนี้ไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้ บลจ.ไอเอ็นจี มีแผนที่จะเปิดขายกองทุนตราสารหนี้อายุ 6 เดือนทุกเดือน เดือนละ 1 กองทุน โดยเริ่มต้นจากกองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยพันธบัตรระยะสั้น 1 มูลค่า 2,000 ล้านบาท อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทน 2.5-2.6% ที่กำลังเปิดขายระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคมอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ ในการออกตราสารหนี้เสนอขายให้ผู้ลงทุน จะต้องให้ผลตอบแทนที่ชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งการที่ไอเอ็นจีสนใจออกตราสารหนี้ระยะสั้นในขณะนี้ เนื่องจากเป็นจังหวะที่ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้อายุ 6 เดือนค่อนข้างดีมาก โดยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3% จาก 2.5-2.6% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวเป็นผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายของกองทุนออกไปแล้ว
นอกจากนี้ ความต้องการของผู้ลงทุนในตราสารหนี้อายุสั้นๆ มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนส่วนใหญ่โยกเงินลงทุนจากตราสารเอกชน ระยะสั้น โดยเฉพาะจากตั๋วเงินระยะสั้น (บี/อี) ที่เกิดปัญหากรณีการผิดนัดชำระตั๋วเงินดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้มีเงินโยกเข้ามาลงทุนในตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น
นายจุมพล กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บลจ.ไอเอ็นจีจะเน้นออกตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตั๋วบี/อี เป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอ็มเอ็ม 1, เอ็มเอ็ม 2, เอ็มเอ็ม 3 และเอ็มเอ็ม 4 แต่หลังจากมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าโยกเงินเข้ามาลงทุนในตราสารที่ไม่มีความเสี่ยงดังกล่าว
"การที่เราให้ความสำคัญกับการเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ในช่วงนี้ เนื่องจากเราเห็นว่าเป็นจังหวะที่ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นอยู่ในช่วงที่ดี โดยปรับขึ้นมาถึงกว่า 3% แล้ว นอกจากนี้ ดีมานด์ของลูกค้าในช่วงที่ผ่านมามีการ เคลื่อนเงินจากตั๋วเงินเอกชนมาลงทุนในตราสารภาครัฐมากขึ้น เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้" นายจุมพลกล่าว
นายจุมพล กล่าวต่อว่า กองทุนตราสารหนี้ที่จะเปิดขายหน่วยลงทุนทุกเดือนนั้น จะเป็นกองทุนที่มีลักษณะเดียวกันกับกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย พันธบัตรระยะสั้น 1 ที่กำลังเปิดขายอยู่ในขณะนี้ โดยจะเป็นกองทุนต่อเนื่องจากกองทุนดังกล่าว นั่นคือกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย พันธบัตรระยะสั้น 2, 3 หรือ 4 ต่อไป โดยแต่ละกองทุนจะมีอายุ 6 เดือน และมูลค่ากองทุนละ 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในการเปิดขายกองทุนตราสารหนี้กองต่อๆ ไป บริษัทจะให้ความสำคัญกับอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต และเชื่อว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะให้ผลตอบแทนกลับมาแก่ผู้ลงทุนได้ในอัตรา 3-3.2% ในช่วงสิ้นปี
ด้านนายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บลจ. เอ็มเอฟซี จะเปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเอ็มเอฟซีพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น (M-TB) มูลค่า 500 ล้านบาท อายุโครงการ 1 ปี 12 วัน เปิดขายครั้งเดียวในวันที่ 8-15 สิงหาคมนี้ โดยวัตถุประสงค์ที่ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนพันธบัตรคุ้ม ครองเงินต้นในช่วงนี้ เพื่อต้องการส่งเสริมให้เกิดการออมระยะสั้นในกลุ่มประชาชนและนิติบุคคลทั่วไป รวมทั้งเป็นการพัฒนาตลาดตราสารการเงินภายในประเทศอีกทางหนึ่ง
ขณะที่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดจองหน่วย ลงทุนกองทุนรวมไทยธรรมคุ้มครองเงินต้น 2 (กองทุนอิ่มบุญ 2 ) มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 8-16 สิงหาคมนี้ โดยเป็น กองทุนปิดที่คุ้มครองเงินต้น 100% มีอายุเพียง 12 เดือนและคาดการณ์ผลตอบแทนประมาณ 2.8% ต่อปี ซึ่งนอกจากผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบ แทนที่สูงกว่าการฝากเงิน ผู้ลงทุนยังได้รับใบอนุโมทนาบัตรเพื่อไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่า จากการบริจาคเงินทำบุญให้กับองค์กรการกุศลด้านการศึกษา
"กองทุนรวมไทยธรรมคุ้มครองเงินต้น 2 นี้แตกต่างจากกองทุนไทยธรรมคุ้มครองเงินต้น 1 ตรงที่ผลตอบแทนจะมากกว่า เพราะเป็นการลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจังหวะการลงทุนตราสารหนี้ที่มีอายุ 1 ปี ในช่วงเวลานี้ ถือเป็นจังหวะการลงทุนที่เหมาะที่สุด เพราะหากกองทุนมีอายุน้อยกว่าก็จะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารประเภทเดียวกันน้อยกว่า แต่หากกองทุนมีอายุมากกว่า 1 ปี ก็จะทำให้ผู้ลงทุนเสียโอกาสการลงทุนในอนาคตซึ่งอัตราดอกเบี้ยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่สำคัญที่สุด ผู้ลงทุนยังได้ร่วมทำบุญกับบริษัท"
|
|
|
|
|