|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
พอร์ตกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ไทยพาณิชย์ ขยับขึ้นเป็นเบอร์ 2 รองจากบลจ.กสิกรไทยทิ้งห่างบลจ.เอ็มเอฟซี และบลจ.กรุงไทย หลัง”โหมโรง”กองทุนพันธบัตรรัฐบาล ผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ ดันNAV ขยับแตะ 8.4หมื่นล้านบาท “อดิศร”คาดปีนี้ทะลุ 1 แสนล้านบาทแน่ พร้อมประกาศปีหน้าขอผงาดเป็นเบอร์หนึ่งธุรกิจกองทุนรวม
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2548 มีมูลค่า 84,568.89 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด 13..87% ซึ่งถือว่าพอร์ตกองทุนรวมสูงสุดเป็นอันดับสองของธุรกิจกองทุนรวม หากไม่นับรวมกองทุนรวมวายุภักษ์ที่มีบลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี เป็นผู้บริหาร และคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการจะเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาทตามเป้าที่ตั้งไว้ก่อนหน้า
สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทสามารถออกกองทุนได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า และที่สำคัญทีมขายของธนาคารไทยพาณิชย์มีประสิทธิภาพมาก โดยปัจจุบันมีพนักงานสาขาธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 1.5 พันคน ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
“พนักงานธนาคารกับลูกค้ามีความสัมพันธ์กันมาก ช่องทางการขายกองทุนของเราเกือบ 100% จึงมาจากธนาคารไทยพาณิชย์” นายอดิศรกล่าว
นายอดิศร กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นมีความผันผวน ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เอกชนและพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งทำให้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยในสิ้นปี 2547 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 42,000 ล้านบาท ก่อนที่จะขยับเพิ่มเป็น 80,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก
ส่วนแนวโน้มผลตอบแทนกองทุนหุ้นของบริษัทในครึ่งปีแรกต้องยอมรับว่าปรับตัวลดลงตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในครึ่งปีหลังบริษัทมีนโยบายปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยจะหันมาใช้กลยุทธ์การบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูงให้กับนักลงทุน ซึ่งขณะนี้ผู้จัดการกองทุนอยู่ระหว่างการคัดหุ้นที่มีคุณภาพ และให้ผลตอบแทนสูง แต่ระดับราคาอยู่ในระดับต่ำ
นายอดิศร กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับการออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพื่อตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้าเงินฝาก ที่มองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่มีความเสี่ยงในระดับต่ำ โดยบริษัทเตรียมออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเฉลี่ยเดือนละ 1 กองทุน มูลค่าโครงการประมาณ 3-5 พันล้านบาท ส่วนกองทุนหุ้นที่เตรียมออกอีกกองในช่วงเดือนกันยายน จะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) มูลค่าโครงการประมาณ 5 พันล้านบาท
นายอดิศร กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทตัดสินใจออกกองทุน LTF เข้าลงทุนในตลาด MAI เนื่องจากประเมินว่าหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดใหม่บางตัวเป็นหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนสูง ส่วนปัญหาเรื่องสภาพคล่องไม่น่าจะเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการขายคืนหน่วยลงทุน และที่สำคัญบริษัทเน้นลงทุนระยะยาวมากกว่า ซึ่งถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายการลงทุน
กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวอีกว่า ในปีหน้าเราตั้งเป้าที่จะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจจัดการกองทุนรวมให้ได้ เนื่องจากเครือข่ายธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นบริษัทแม่ ถือว่าเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันพนักงานขายที่มีประสิทธิภาพถือเป็นจุดขายที่สำคัญ โดยบริษัทมีนโยบายอบรมพนักงานให้มีความรู้เรื่องการวางแผนการลงทุน และมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของกองทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีที่ผ่านมามีการฝึกอบรมให้กับพนักงานสาขาต่างๆประมาณ 50-60 ครั้ง ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายหน่วยลงทุนให้กับลูกค้า
|
|
 |
|
|