"ภัทรประกันภัย" ดิ้นหามือดีเข้ามาช่วยบริหารพอร์ตลงทุนที่มีมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านบาท หลังจากในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนจากการลงทุนทรุด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากตลาด หุ้นดิ่ง ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกกำไรแค่ 100 ล้านบาท ลดลงกว่า 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลพวงรายได้จากเงินลงทุนทรุด
นางกฤตยา ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผน การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังด้าน การลงทุน บริษัทเตรียมสรรหาบริษัทเข้ามาบริหารพอร์ตการลงทุน จำนวน 2,500 ล้านบาท ซึ่งพอร์ตการลงทุนของบริษัทจะเน้นลงทุนระยะยาวและให้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งในพันธบัตร หุ้นกู้ และหุ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 7% โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถ สรรหาบริษัทที่จะสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนของบริษัทได้
"สาเหตุที่บริษัทจะสรรหาเลือกบริษัทเข้ามาบริหารพอร์ตการ ลงทุน เนื่องจาก งบการเงินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รายได้จากเบี้ยประ-กันภัยมีการเติบโตที่ดี ซึ่งไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท แต่ในทางตรงกันข้ามรายได้จากการลงทุนกลับไม่ ดีนัก ยิ่งในช่วงปลายปี 2546 ภาวะตลาดหุ้นไม่ค่อยดีนัก จึงทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนแค่ 7% เท่านั้น จากพอร์ตการลงทุนทั้งสิ้นจำนวน 3,000 ล้านบาท" นางกฤตยากล่าว
สำหรับการคัดเลือกบริษัทที่เข้ามาบริหารพอร์ตการลงทุนนั้น บริษัทคาดว่าจะได้บริษัทไม่เกิน 3 ราย ซึ่งแต่ละรายจะได้รับเงินลงทุน ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชี่ยว ชาญของแต่ละบริษัท ดังนั้นบริษัทที่จะเข้ามาบริหารพอร์ตการลงทุนจะต้องมีความรู้ที่ดีในการลงทุนและความรู้เกี่ยวกับข้อจำกัดของกรมการประกันภัย รวมทั้งจะต้องมีประวัติการทำงานและผลประกอบ การที่ดี
ปัจจุบันบริษัทภัทรประกันภัย มีพอร์ตการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสรรหาบริษัทที่จะเข้ามาบริหารพอร์ตจำนวน 2,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 500 ล้านบาท บริษัทจะบริหารพอร์ตเอง จากเดิมที่พอร์ตการลงทุนทั้ง 3,000 ล้านบาท บริษัทเป็นผู้บริหารเองทั้งสิ้น แต่มีบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ภัทร และบล. ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งได้รับผลตอบแทนประมาณ 7%
ส่วนธุรกิจประกันภัย บริษัทได้ตั้งเป้าหมายใหม่ โดยคาดว่าเบี้ย ประกันภัยรับจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1,400 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประ-มาณ 25% จากปีก่อนทั้งจากกลยุทธ์ การตลาดที่หลากหลายและเพิ่มคู่ค้า รวมทั้งช่องทางใหม่ๆ นอกจากนี้บริษัทจะมีการควบคุมความเสี่ยง ไม่ให้ Loss ratio สูงเกินกว่าในช่วง 6 เดือนแรก คือ ไม่เกิน 23%
"ภัทรประกันภัยยังคงเน้นนโยบายเติบโตที่มั่นคง ไม่แกว่งไป ตามสภาพตลาดที่ผันผวน เพื่อการ ดำเนินธุรกิจในระยะยาว นอกจากนี้ยังมุ่งประเด็นไปที่การรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเพื่อเติบโตมากกว่าคู่แข่ง พร้อมทั้งให้ความสำคัญ การบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี ทั้งในส่วนของการรับประกันภัยและการประกันภัยต่อ โดยบริษัทยังมุ่ง เน้น ความเป็นผู้ชำนาญการด้านประกันภัยทางทรัพย์สินและประ-กันอุบัติเหตุ ด้วยการโฆษณาประ-ชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งบริษัท ยังมีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการ ปี 2548 ว่าจะมีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่าปี 2547 แน่นอน" นางกฤตยา
ด้านนายสุชาติ สังข์เกษม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจประกันภัยปี 2548 ช่วงครึ่งปีหลัง ว่าจะมีการแข่ง ขันรุนแรงมากขึ้นและในอนาคตอาจเห็นการควบรวมของบริษัทประกันภัยมากขึ้น เพื่อเตรียมตัวรองรับการเปิดเสรีทางการเงิน ซึ่งบริษัทต่างๆ ในธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องปรับตัวให้มีความโปร่ง ใสในการดำเนินงานอันเนื่องมาจาก ความเข้มงวดของภาครัฐ ทั้งนี้คาด ว่าในอนาคตบริษัทประกันภัยที่มีความมั่นคงและแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอดได้ในธุรกิจ
นายธนากร ปุรณะพรรณ์ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงนโยบายและกลยุทธ์ด้านการตลาดและบริการว่า บริษัทยังคงต่อยอดการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Co-Marketing) ร่วมกับบริษัทชั้นนำเพื่อขยาย ช่องทางการขายให้มากขึ้น โดยเน้น การทำตลาดลูกค้ารายย่อย และการ ใช้ฐานข้อมูลลูกค้าบางส่วนร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งจะร่วมอบรมพนักงานธนาคารกสิกรไทยให้เข้าใจ ในตัวผลิตภัณฑ์และสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้เบี้ยประกันไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรก ของปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนประมาณ 17% ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ไม่ค่อย ดีนัก จึงส่งผลทำให้รายได้จากการลงทุนลดลง แต่ในขณะเดียวกันด้านการรับประกันภัย บริษัทมีเบี้ย ประกันภัยรับเพิ่มขึ้นถึง 22% หรือเป็นประมาณ 758 ล้านบาท
ส่วนความเสียหายมากกว่า 6 เดือนแรกของปีก่อน รวมถึงผลกระทบต่อเนื่องจากสึนามิบางส่วน ส่งผลให้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท หรือประมาณ 50% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม Loss Ratio ของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดีเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม โดยอยู่ที่ 23% ของเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
|