|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"โฮลิสติค ไล้ฟ์" ธุรกิจขายตรงพันธุ์ใหม่ของไทยทำตลาดแหวกแนว ดึงผู้คร่ำหวอดในวงการขายตรงทั้งแอมเวย์ เอวอนและยูสตาร์มากุมบังเหียน พร้อมนำระบบไฮบริด มาร์เกตติ้งมาใช้เป็นรายแรกในไทยและเอเชีย ชูจุดต่างธุรกิจทุกคนสามารถเป็นเถ้าแก่ได้ เล็งเข้าช่องทางสถาบันการศึกษากว่า 100 แห่ง หวังเจาะกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลักเนื่องจากกำลังซื้อสูง พร้อมลุยตลาดต่างแดนอีก 2 ปี คาดสิ้นปีรายได้แตะ 100 ล้านบาท และจำนวนสมาชิกพุ่ง 1 หมื่นคน
นายวิทยา มานะวาณิชเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด ผู้ดำเนิน ธุรกิจขายตรงผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ ภายใต้ชื่อ "โอโกะ" เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ศึกษาข้อมูลและพบว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงามเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพดีและไปได้ไกล ดังนั้นบริษัทฯจึงได้เริ่มดำเนินธุรกิจขายตรง โดยระยะเริ่มต้นจะเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์เป็นหลัก ภายใต้แบรนด ์"โอโกะ" โดยลักษณะการทำตลาดของบริษัทฯ ได้มีการนำระบบขายตรงรูปแบบใหม ่"ไฮบริด มาร์เกตติ้งหรือแบบผสม" ซึ่งเป็นการผสมผสานข้อดีของขายตรงแบบชั้นเดียว (SLM) และธุรกิจขายตรงหลายชั้น (MLM) มาใช้ในธุรกิจขายตรง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในตลาดไทยและเอเชียที่นำระบบนี้มาใช้ รวมถึงยังมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ที่แตกต่างจากรายอื่นๆ ตรงที่เปิดโอกาสให้พนักงาน และสมาชิกขายตรงของบริษัทฯ สามารถเป็นเถ้าแก่หรือเจ้าของธุรกิจเองได้ด้วย ดึงมือดีขายตรงกุมบังเหียน
ด้านนายศุภพงศ์ จันทรวีระกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย (ทั่วประเทศ) บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจขายตรงหลายแห่ง เช่น แอมเวย์, เอวอน และยูสตาร์ เปิดเผยว่า ความแตกต่างสำหรับขายตรงชั้นเดียวและหลายชั้นอยู่ที่แผนการจ่ายผลตอบแทนและการดำเนินธุรกิจ อาทิ ธุรกิจขายตรงหลายชั้นมีการลงทุน ทำธุรกิจสูงกว่าขายตรงชั้นเดียว และขายตรงหลายชั้น ไม่มีพนักงานหรือแม่ทีมในการทำธุรกิจภาคสนามแต่ขายตรงชั้นเดียวมีพนักงานเป็นแม่ทีมหลัก หรือการที่ธุรกิจขายตรงหลายชั้นเป็นธุรกิจ ที่ให้ความหวังคน ส่วนข้อเสียของขายตรงชั้นเดียว คือ หากแม่ทีมลาออกจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ต้องตกเป็นของบริษัท เป็นต้น
"ธุรกิจเราแตกต่างจากรายอื่น อาทิ ระบบของเราสร้างคนให้เป็นเถ้าแก่และให้มีส่วนร่วมในธุรกิจ, การที่เป็นเน็ตเวิร์กเป็นระบบผสม, มีสินค้า ที่แตกต่างจากตลาด และบริษัทฯมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับที่แข็งแรง เช่น ระบบไอที และลอจิสติกส์"
ปัจจุบันบริษัทฯ มีเจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจหรือแม่ทีม (BDE) ที่มีหน้าที่หาสมาชิกและได้รับเงินเดือนในฐานะพนักงานบริษัทอยู่จำนวน 8 คน คาดว่าสิ้นปีเพิ่มเป็น 12 คน ส่วนจำนวนสมาชิก มี 1,000 คน หลังจากที่เริ่มดำเนินการเป็นเวลา 1 เดือน โดยสิ้นปีนี้คาดว่าสมาชิกจะเพิ่มเป็น 1 หมื่นคน ขณะที่ศูนย์กระจายสินค้าขณะนี้มีแห่งเดียว คือที่ออฟฟิศของบริษัทฯ และมีแผนขยายศูนย์ฯโอโกะ
รุกเจาะวัยรุ่นผ่านสถาบันศึกษา 100 แห่ง
กลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทฯ คือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 13-21 ปี คิดเป็นสัดส่วน 80% เนื่องจากมองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและใช้เครื่องสำอางบ่อย ซึ่งในตลาดขายตรงยังไม่มี รายใดที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นโดยตรง รวมถึงยังเจาะกลุ่มคนวัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไปอีกด้วย คิดเป็นสัดส่วน 20% โดยบริษัทฯมีแผนรุกเจาะกลุ่ม นักศึกษาและนักเรียนโดยเฉพาะผ่านทางช่องทางสถาบันการศึกษากว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ด้วยการทำโครงการ อาทิ บริษัทจำลองธุรกิจ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทดลองทำธุรกิจจริงๆ หรือทำงานในช่วงพาร์ตไทม์ เป็นต้น ‘ เล็งอีก 2 ปีลุยทำตลาดต่างแดน
นางสาวโสภิดา พิเชฐหิรัญกาญจนา กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โฮลิสติค ไล้ฟ์ จำกัด กล่าวว่า ด้านตลาดต่างประเทศบริษัทฯมีแผนที่จะไปทำตลาดในรูปแบบอื่นๆที่เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบขายตรงเหมือนในไทย ซึ่งการรุกตลาดต่างประเทศจะต้องศึกษาเรื่องกฎหมายและช่องทางการขายในแต่ละประเทศให้ดีเสียก่อน ตลาดที่บริษัทฯ สนใจ คือ ประเทศย่านเอเชีย เช่น ฮ่องกงอาจจะทำตลาดแบบเน็ตเวิร์ก เป็นต้น ทั้งนี้คาดว่าอีก 2-3 ปีจะรุกตลาดต่างประเทศได้
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์โอโกะมีกว่า 30 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มสกินแคร์, เครื่องสำอาง และมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 5-6 รายการ รวม ทั้งเตรียมนำเข้าอาหารเสริมจากอเมริกาในช่วงปลายปีนี้ และปีหน้าเตรียมนำเข้าแฮร์แคร์จาก ญี่ปุ่น เช่น สีย้อมผม, น้ำยายืดผม ฯลฯ ซึ่งราคาเฉลี่ยของสินค้าโอโกะจะอยู่ที่ 50-950 บาท ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีรายได้กว่า 100 ล้านบาท
|
|
|
|
|