ในเดือนกรกฎาคม ค่าเงินบาทของไทยได้แข็งตัวที่สุดขึ้น ระยะหนึ่ง โดยแลกเปลี่ยนได้ในอัตรา
39-40 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ค่าเงินยูโรซึ่งเคยอยู่ต่ำกว่าค่าเงินดอลลาร์ก็ได้แข็งตัวขึ้นมามีค่าเหนือดอลลาร์เป็นครั้งแรก
ทั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความแข็งแกร่งขึ้นของเศรษฐกิจไทย หรือประชาคมยุโรปแต่อย่างใด
แต่ปัจจัยเดียวคือ วิกฤติศรัทธาต่อตลาดหุ้นอเมริกาที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน
ทำให้การซื้อขายดอลลาร์มีค่าต่ำลง อย่างไรก็ตาม เป็นไปในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น รัฐบาลบุชก็ระดมเกมออกมาแก้ภาวะวิกฤติศรัทธาต่อตลาดหุ้น
และการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลทันที
ดอลลาร์ขึ้น กลบข่าวใหญ่ที่ไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก คือ การค้นพบหลักฐานชัดเจนว่า
พวกบริษัทเงินทุนใหญ่ๆ รู้เห็นเป็นใจให้ Enron ทำบัญชีปลอม กลบหนี้ 8 พันล้าน
ด้วยการปล่อยเงินกู้ให้ แต่ทำรายการบัญชีประกอบการโอนเงินหรือ Transaction
ว่าเป็นการโอนเงินจากบริษัทโพ้นทะเลเพื่อซื้อสินค้าพลังงานของบริษัท
บริษัทโพ้นทะเลนั้น สืบแล้วว่าไม่มีอยู่จริงเลยสักแห่ง
มามองย้อนหลังว่า เกิดอะไรขึ้น ในเดือนกรกฎาคมที่แสนระทึกใจของจอร์จ บุช
และกลยุทธ์ใดช่วยบริหารประเทศให้ หลุดพ้นจากภาวะเสียศรัทธาในเงินดอลลาร์ได้
กว่าจะปิดฉาก 9 เดือนตกต่ำ และ 9 สัปดาห์ตกต่ำยิ่ง หลังการรายงานในฉบับที่แล้ว
ยังมีเหตุการณ์โกงเหลือเชื่ออีกหลายอย่างเรียงหน้าออกมาให้มหาชนถอนใจ พร้อมข้อสงสัยในตัวบุชเอง
ตบท้ายด้วยต้นเดือนสิงหาคม ที่พบว่าตัวเลขปลอมบัญชี 3.8 พันล้านของ WorldCom
นั้น ขยายเพิ่มไปเป็น 5.8 พันล้าน เมื่อมองย้อนไปอีกแค่ 2 ปี
นอกจากเป็นศึกเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บริษัทใดจะเป็นรายต่อไป คือสิ่งที่ผู้คนจับตามอง ด้วยความหวังริบหรี่ว่า
จะไม่มีอีก
จับครอบครัว Adelphia
ภาวะต่อเนื่องหุ้นตกและดอลลาร์ต่ำที่สุด เพื่อเรียกความ มั่นใจแก่นักลงทุนต่อตลาดหุ้นโดยด่วน
จึงนำพามาสู่ปฏิบัติการจับกุมตัวอย่าง ซึ่งได้ผลสองทาง ทั้งลงดาบเป็นกรณีศึกษาสร้างความหวาดกลัวแก่พวกนักบริหารฉ้อฉล
และเป็นหลักประกันแก่มหาชนว่ารัฐจะเป็นที่พึ่งพิงของนักลงทุนได้
เป้าหมายคือ จับกุมจำเลยกลุ่มที่มีความผิดชัดเจนที่สุดใน บรรดาหลายต่อหลายกรณี
CEO ฉ้อมหาชน เชือดให้ดูเป็นรายแรก
ในวันที่ 24 กรกฎาคม จึงมีการออกหมายจับครอบครัวผู้ก่อตั้งบริษัทเคเบิลยักษ์ใหญ่
Adelphia Communications Corp ทั้งตัวจอห์น ไรกัส ผู้พ่อและลูกชายอีก 2 คน
วันนั้น ดัชนี ตลาดหุ้นที่ตกร่วง ได้ตีกลับขึ้นมาในทันที และดอลลาร์แข็งตัวคืนนับแต่นั้นมา
จอห์น ไรกัส อดีตประธาน และหัวหน้าฝ่ายบริหาร (CEO) ของ Adelphia Communication
Corp ถูกจับพร้อมกับลูกชาย ทิโมธี่ อดีตหัวหน้าสำนักงานการเงิน และไมเคิล
อดีตผู้บริหารของบริษัท ที่คฤหาสน์ส่วนตัวของพวกเขา ในเมือง Coudersport
รัฐ Pa. และยื่นฟ้องศาลในเขตแมนฮัตตัน เมืองนิวยอร์ก โดยอัยการรัฐระบุข้อกล่าวหาว่า
"เจมส์ ไรกัส ร่วมกับสมาชิกของครอบครัวได้ ปล้น Adelphia อย่างใหญ่หลวง โดยใช้ธนาคารเป็นกระปุกออมสินส่วนตัว
สร้างค่าใช้จ่ายให้แก่นักลงทุนมหาชน และเจ้าหนี้"
พร้อมกันนั้นระบุว่าจำเลย "กระทำผิดโดยสร้างอุบายใหญ่ อย่างแนบเนียน ฉ้อฉลผู้ถือหุ้น
และเจ้าหนี้ของ Adelphia และมหาชน"
โดยครอบครัวนี้ได้ใช้ "การฝึกฝนทางบัญชีที่ผิดรูปแบบ และหลอกลวงหลายอย่าง"
เพื่อโกงนักลงทุน ด้วยการ "ดัดแปลงสมุดและบันทึกของ Adelphia เพื่อสร้างภาพลวงตาว่า
เงื่อนไขทางการเงินและประสิทธิภาพของ Adelphia น่าชื่นชมเหลือหลาย เมื่อเทียบกับความเป็นจริง"
Adelphia ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีใหญ่อันดับหกของสหรัฐ อเมริกา และใหญ่ที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้
ได้ยื่นฟ้องขอปกป้องภาวะล้มละลายเมื่อเดือนมิถุนายน ภายหลังที่มีเรื่องอื้อฉาว
มาสองสามเดือนว่า บริษัทได้ให้กู้แก่ครอบครัวผู้ก่อตั้ง หรือค้ำประกันเงินกู้จากแหล่งภายนอกให้
โดยที่ไม่ได้เปิดเผยแก่สาธารณชน และหนี้เหล่านั้น ส่วนใหญ่กลายเป็นหนี้สูญ
คณะกรรมการหุ้นและตลาดหลักได้ทำการสอบสวนบัญชีของบริษัท และอัยการในนิวยอร์ก
และเพนซิลวาเนียกลางได้เข้า ตรวจสอบการเงินของบริษัท ท้ายสุดก็ได้มีการจับครอบครัวผู้ก่อตั้งซึ่งลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม
โดยยอมโอนทรัพย์สินมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ และเงินสดหมุนเวียน 567 ล้าน
ดอลลาร์ จากบริษัทเคเบิลอื่นที่เป็นเจ้าของ และคืนหุ้น Adelphia ทั้งหมดที่ครอบครัวถืออยู่เป็นการใช้ค่าเสียหาย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หุ้นตกลงจนเหลือไม่ถึง 1 ดอลลาร์ ขณะที่ครอบครัว
นี้เป็นหนี้สินทั้งบริษัทและคนนอกประมาณ 3.1 พันล้านดอลลาร์
เงินส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้ซื้อและดำเนินงาน The Sabres ทีมฮอกกี้ประจำเมืองบัฟฟาโล
รัฐนิวยอร์ก ซื้อหุ้นในบริษัทเคเบิล ทีวีอื่น ซื้อที่ดินเสื่อมโทรม และลงทุนในสนามกอล์ฟ
ออกกฎหมายกันธุรกิจตุ๋น
วันเดียวกับที่มีการจับแพะ Adelphia เฉือดให้มหาชนดู ยังมีการออกข่าวดี
เพื่อรับประกันว่า ดัชนีหุ้นและดอลลาร์ต้องแข็งตัวขึ้นในทันที โดยทางสภาผู้แทน
และวุฒิสมาชิกได้ออกแถลงการณ์ถึงการออกกฎหมาย เพื่อกะเทาะเปลือกการต้มตุ๋นทางธุรกิจ
หรือ Business Fraud Bills
โดยคณะกรรมการบริการการเงินของสภาผู้แทนทางฝ่ายพรรครีพับลิกันได้ออกมาเปิดเผยว่า
การร่างกฎหมายนี้ได้กระทำ อย่างรวดเร็วในวุฒิสภา ตั้งแต่เหตุใหญ่ล่าสุดเมื่อบริษัทบริการโทรทางไกล
WorldCom ได้ประกาศว่า บริษัททำบัญชีผิดไม่ได้ลงค่าใช้จ่าย 3.9 พันล้าน
ทางผู้นำคองเกรสได้เข้าพบประธานาธิบดีบุช ที่ทำเนียบขาว ก่อนออกมายืนยันถึงการเดินหน้าออกกฎหมายด่วน
ที่ผ่านมติรองรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากทั้งสองสภา และสองพรรคใหญ่
ก่อนที่ประธานาธิบดีเซ็นด่วน และผ่านร่างด่วนภายในไม่ถึงสองสัปดาห์
กฎหมายใหม่นี้จะมีการลงโทษทางอาญาและจำคุกนักบริหาร ผู้กระทำการสร้างเอกสารลวงเพื่อฉ้อฉลทางธุรกิจ
และมีการควบคุมดูแลอุตสาหกรรมบัญชีอย่างใกล้ชิด
ก่อนหน้านั้น จอร์จ บุช และฝ่ายบริหารได้กระทำการหลายอย่างเพื่อเรียกความมั่นใจของนักลงทุน
โดยในวันที่ 11 กรกฎาคม จอร์จ บุช ได้เดินทางไปที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เรียกความมั่นใจนักลงทุน
โดยบอกว่าจะทุ่มทั้งกำลังคนและกำลังเงินให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมออกกฎหมายใหม่เพื่อจับอาชญากรทางธุรกิจมาลงโทษ
เพียงแต่ยังติดปัญหาที่รายละเอียดของกฎหมายบางส่วน และยังต้องปรับข้อเสนอที่แตกต่างกันบางส่วน
ขณะนั้นยังมีข่าวว่า ทางรีพับลิกันต้องการออกกฎหมายที่ช่วยเหลือนักธุรกิจมากกว่า
ทางเดโมแครตจึงทำการคัดค้านตามประสาฝ่ายค้าน ระหว่างที่กำลังง้างอำนาจและผลประโยชน์
ทางการเมืองกันอยู่ ในช่วงสองอาทิตย์ต่อมานั้น หุ้นและดอลลาร์ ที่ตกอย่างไม่รอคอย
ทำให้ทุกฝ่ายเร่งกลมกลืนสมานจนได้ข้อกฎหมายด่วนที่เรียกความมั่นใจนักลงทุนได้ในที่สุด
ไม่ได้ด้วยหลักการ ก็ต้องเอาด้วยเวทมนตร์ คณะกรรมการ หลักทรัพย์และตราสารหุ้นยังได้สั่งให้บริษัทยักษ์ใหญ่
1,000 แห่ง ยื่นใบสาบานตนที่เซ็นโดยหัวหน้าฝ่ายบริหาร ควบคู่กับรายงานทาง
การเงินด้วย ซีอีโอคนไหนเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ไม่กล้าโกง
ปิดฉากเกาสัปดาห์หุ้นร่วง
เก้าสัปดาห์วิกฤตินั้นเริ่มขึ้นมาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม เมื่อมีข่าวคราวเรื่องการฉ้อฉลทางบัญชีและการขาดจรรยาบรรณของนักบริหาร
ทำให้ตลาดหุ้นตกอย่างต่อเนื่อง ปิดท้ายเมื่อ World Com ขอล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจอเมริกัน
เมื่อ 21 กรกฎาคม หลังยอมรับว่า บันทึกค่าใช้จ่าย 3.85 พันล้าน ดอลลาร์เป็นเงินลงทุน
เพื่อทำบัญชีตัวเลขรายได้และกำไรสวยงาม
กระทั่งปฏิบัติการเด็ดของรัฐบาลจอร์จ บุช วันที่ 24 กรกฎาคม ช่วยทำให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ขึ้นถึง
488.95 จุด ในวันเดียว สูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ ทั้งที่ตอนเช้าหุ้นยังเปิดตลาดโดยดัชนีร่วงมากถึง
170 จุด แต่ในตอนสายค่อยๆ ขึ้น มาตามข่าวจับกุมผู้บริหาร Adelphia และประกาศความร่วมมือ
ระหว่างรัฐบาลกับสองสภา ที่จะเร่งกฎหมายกันธุรกิจตุ๋น จากนั้น หุ้นก็ไต่กลับขึ้นเหนือ
8,000 จุดในวันถัดมา ปิดฉาก 9 สัปดาห์ ที่หุ้นร่วงลิ่วจนนักลงทุนจำนวนมากแทบหมดตัว
ก่อนหน้านี้ ดัชนีดาวโจนส์เคยขึ้นสูงสุดในวันเดียว 499.19 จุด เมื่อวันที่
16 มีนาคม 2000 ภาวะหุ้นกระทิงครั้งนี้ยังเป็น การขึ้นถึงเลขสามหลักครั้งแรกในรอบ
20 วัน ที่เกือบทุกวัน หุ้นมีแต่ร่วงหลายร้อยจุด บางวันก็ขึ้นกลับแต่ก็ไม่ถึงหลักร้อยจุด
ในเวลากว่าสองเดือนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงเป็นกราฟดิ่งลงนั้น ดัชนีหลักๆ
ที่บ่งบอกถึงความมั่นคงของตลาดหุ้นได้ร่วงลงถึงระดับต่ำที่สุดในรอบสิบปี
นับถึงวันที่ 23 กรกฎาคม ก่อนวันปฏิบัติการกู้ภาพนั้น ดัชนีใหญ่ๆ ได้ร่วงลงมาถึงขีดต่ำสุด
ในรอบหลายปี ดัชนี 500 บริษัทเด่น หรือ S&P 500 ได้ปิดที่ต่ำกว่า 800
จุด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 1997 และดัชนี Dowjones หรือหุ้นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมได้ตกลงที่จุดต่ำสุด
นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 1998 และดัชนี Nasdaq หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ตกลงมาถึงจุดต่ำสุด
นับแต่เดือนพฤษภาคมปี 1997
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จึงเป็นความสามารถแก้เกมที่เก่งกาจของรัฐบาลอเมริกันและเป็นกรณีศึกษาของผู้บริหารการเงิน
และตลาดหุ้นทั่วโลก เพื่อเปรียบเทียบหากเกิดเหตุการณ์คล้ายกัน
ฝ่ายค้านชี้ 'บุช' เคยเล่นเกมโกงเดียวกัน
จอร์จ บุช ถือเป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนแรกที่มีปริญญาโททางบริหารธุรกิจพ่วง
และประธานาธิบดีที่มีประวัติเป็นนักธุรกิจบริหารบริษัทใหญ่มาก่อน จึงมักตกเป็นเบี้ยไล่ของพรรคเดโมแครต
ว่าชอบกระทำการบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ ของบริษัทธุรกิจ เดโมแครตยังอัดรับฤดูเลือกตั้งที่กำลังมาถึงว่า
จอร์จ บุช แก้ปัญหานี้ล่าช้าเกินไป
ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่มีข่าวอื้อฉาวใหม่ๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคม จอร์จ บุช
ออกแผนงานที่จะให้นักลงทุนได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น และผู้บริหารธุรกิจถูกตรวจสอบมากขึ้น
เพื่อความน่าเชื่อถือของรายงานทางการเงิน แต่แผนงานนี้ก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ
ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม จอร์จ บุช ยังตกเป็นข้อครหา เมื่อ มีผู้รื้อฟื้นธุรกรรมเก่าที่เขาขายหุ้น
บริษัทพลังงาน Harken ในปี 1990 มูลค่า 848,560 ดอลลาร์ ซึ่งถูกปกปิดไว้นานถึง
8 เดือน ก่อนแจ้งคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ แต่จอร์จ บุช ได้ปฏิเสธ กระทำผิด
โดยบอกว่า คิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมแบบฟอร์มแจ้งตลาดฯ ไปถึงกรรมการช้า และบอกว่า
การรื้อฟื้นเรื่องนี้ เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เรื่องนี้เคยถูกหยิบมาแฉตอนเขาลงชิงผู้ว่าเท็กซัส
ปี 1994 และลงชิงประธานาธิบดี ปี 2000 ทางตลาดก็บอกว่า ตรวจสอบไม่พบความผิด
จอร์จ บุช ยังเป็นประเด็นว่าอยู่เบื้องหลังการขายหุ้น 80 เปอร์เซ็นต์ ในบริษัท
Aloha Petroleum Ltd. ของ Harken ซึ่งตอนแรกบริษัทรายงานว่าได้กำไรจากการขาย
จากนั้นขอทำ การรื้อบัญชีใหม่และรายงานเป็นขาดทุน ทำให้เงินรายได้ของบริษัทในปี
1989 ซึ่งตอนแรกรายงานเป็นขาดทุน 3.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็นขาดทุน 12.57
ล้านดอลลาร์
จอร์จ บุช กล่าวยอกย้อนอย่างคมคายในเรื่องนี้ว่า "มีความ คิดเห็นที่ซื่อสัตย์แตกต่างกันไปว่า
จะลงบัญชีรายการที่ซับซ้อนอย่างไร ทั้งหมดที่ผมบอกพวกคุณได้คือ นี่คือโลกของคอร์ปอเรท
บางครั้งอะไรมันก็ไม่ได้ดำหรือขาวไปทีเดียว พอมาถึงกระบวน การทางบัญชี"
กรณีของเขานั้น เขาบอกว่า "ไม่มีการทุจริตต่อหน้าที่ไม่มีความพยายามซ่อนอะไร
เป็นแค่การที่บริษัทบัญชีแห่งหนึ่งทำการตัดสินใจร่วมกับผู้บริหารบริษัทมหาชนว่า
จะบันทึกบัญชีรายการที่ซับซ้อนอย่างไร"
แฉอีกรายบริษัทยา Merck
ทำบัญชีตกแต่งตัวเลขให้สวย
สัปดาห์ที่สองของเดือนกรกฎาคม อีกข่าวที่ทำให้ตลาดหุ้นตก และนักลงทุนใจฝ่อยิ่งขึ้น
คือ ข่าวการทำบัญชี 'ผิด' ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ Merck & Co ที่ขอรื้อบัญชีมาแก้กำไรเป็นขาดทุนอีกราย
ช่วงนั้น นักลงทุนกำลังเริ่มหายใจคล่องว่าตลาดจะคืนตัว เพราะหลายบริษัทออกมาแถลงข่าวการประสบความสำเร็จในไตรมาสที่สอง
หลังเก้าเดือนที่ตกต่ำมาตั้งแต่วิกฤติ 11 กันยายน
ทว่า ข่าวของ Merck ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแปรหุ้นอุตสาหกรรม ดาวโจนส์ ตีพิมพ์ในวอลล์สตรีท
เจอร์นัล ระบุว่า Merck รายงานเงินรายได้สูงถึง 12.4 พันล้านดอลลาร์ จากสาขาร้านขายยาในรอบ
3 ปี ซึ่งเป็นเงินรายได้ที่ไม่เคยมีการจัดเก็บจริง ทางด้านบริษัทแจ้งว่า
บริษัทได้หักเงินจำนวนเดียวกันเป็นค่าใช้จ่ายในทันที จึงไม่มีผลใดๆ ต่อยอดรายได้สุทธิ
ในที่สุดประเด็นนี้จึงตกจากการสอบสวนไป
พบเบื้องหลัง Enron
กระบวนการใหญ่ร่วมปล้น "มหาชน"
ส่วนการสอบสวนกรณีอดีตบริษัทพลังงานใหญ่ Enron ที่ยังคงสอบสวนกันอยู่ในสภาคองเกรส
ล่าสุดมีการเรียกผู้บริหารบริษัทเงินทุนใหญ่สองราย คือ J.P. Morgan Chase
และ Citigroup ซึ่งมีกิจกรรมการโอนเงินกับ Enron อย่างน้อย 26 ครั้ง ในช่วงปี
1992 ถึง 2001
ในอีเมล จดหมาย และเอกสารอื่น ที่เปิดโปงโดยทีมสอบ สวนของคองเกรส พบว่า
ธนาคารเหล่านี้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Enron เพื่อปกปิดมหาชนไม่ให้รับรู้ถึงหนี้สิน
8,000 ล้านดอลลาร์ ที่เกิดจากการขยายกิจการไม่เข้าท่าสารพัดรูปแบบ การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในสำนักงาน
และการทุ่มซื้อตัวลูกจ้างทุกระดับ จนบริษัท กลายเป็นขุมทองของนักศึกษาจบใหม่และนักบริหารรับจ้าง
ทางคณะกรรมการย่อยสอบสวนของวุฒิสมาชิกใช้เวลา นาน 7 เดือนจนถึงเดือนกรกฎาคมนี้
ในวันที่ 24 ซึ่งเป็นวันเดียว กับที่มีข่าวในทางดี 2 ชิ้นใหญ่ ได้มีการเปิดเผยข่าวนี้
ซึ่งไม่เป็นที่สนใจในที่สุด
ทั้งที่ข่าวคือ การพบอีเมลหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า Enron กับพวกธนาคารเพื่อการลงทุน
ได้ทำการโอนเงินที่เรียกว่าเป็นการ จ่ายล่วงหน้าแทนลูกค้า หรือ "prepay"
หลายครั้ง โดยระบุว่า เป็นการโอนรายได้จากการค้าทรัพย์สินทางพลังงานกับบริษัทต่างชาติชื่อปลอมๆ
ที่อุปโลกน์ขึ้นมา ทั้งที่แท้จริง บริษัทเงินทุนเหล่านั้นได้ให้เงินกู้แก่
Enron และเงินส่วนนี้คือหนี้สิน แต่กลับช่วยปกปิดให้ Enron นำเงินนี้ไปลงบัญชีว่าเป็นเงินสดจากการดำเนินงาน
แล้วเอาไปเป็นเงินทุนขยายกิจการสารพัน
ในอีเมลฉบับหนึ่ง จากจอร์จ ซีไรซ์ ผู้บริหาร J.P.Morgan Chase เขียนในเดือนพฤศจิกายน
ปี 1998 บอกว่า "Enron รักธุรกรรมแบบนี้ เพราะพวกเขาสามารถซ่อนหนี้สินเงินลงทุนจากนักวิเคราะห์สินทรัพย์ของพวก
เพราะพวกลงบัญชีเป็นรายได้ หรือไม่ก็ฝังเป็นสินทรัพย์"
อีเมลอีกฉบับจากลูกจ้างของ J.P.Morgan Chase เขียนถึงซีไรซ์ ลงเดือนตุลาคม
ปี 2001 บอกว่า "5 (พันล้าน) เหรียญ เงิน Prepay!!!!!" ซีไรซ์ตอบว่า "หุบปากและลบอีเมลนี้"
ประธานฝ่ายกรรมการย่อยสอบสวน บอกว่า เอกสารเหล่านี้คือหลักฐานว่า "Enron
ใช้วิธีการนี้เพื่อให้ได้รับเงินสดโดยไม่ต้องรายงานภาวะหนี้สิน"
ทางฝ่ายธนาคารที่ออกเงินให้ด้วยวิธีนี้ แม้ไม่ได้รับ ดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ได้รับค่าธรรมเนียมก้อนใหญ่และผลประโยชน์อื่นๆ
ที่คุ้มค่า รวมถึงได้เอาใจลูกค้ารายใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร J.P.Morgan Chase ได้ให้ปาก คำต่อหน้าคองเกรส ปฏิเสธไม่รู้เห็นโดยสิ้นเชิงและบอกว่าอีเมล
ไม่ตรงความจริง หรือเป็นการออกความเห็นแบบสบายและกันเอง ที่ไม่ได้สะท้อนถึงธรรมชาติธุรกรรมจริงระหว่างธนาคารและ
Enron
โดนัลด์ แมคครี กรรมการผู้จัดการของ J.P.Morgan Securities ในนิวยอร์ก
(ฝ่ายบริหาร) ไม่ได้รับแจ้งโดยรายละเอียด ถึงดอกเบี้ยเงินกู้จาก Enron หรือโครงสร้างเต็มรูปแบบของการโอนเงินจาก
Mahonia ในที่นี้คือ บริษัทอุปโลกน์แห่งหนึ่งที่เชื่อว่า Enron กับตัวแทนของ
J.P.Morgan ตั้งขึ้นมา
Citigroup เป็นอีกธนาคารที่ถูกเรียกเข้าสภาฯ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการโอนเงินหลักพันล้านให้
Enron โดยระบุว่าเป็นเงินรายได้ของ Enron จากการทำธุรกรรมกับบริษัทโพ้นทะเล
ที่ชื่อว่า Yosemite ภายใต้การกำกับของบริษัทกฎหมายชื่อ Maples and Calder
ในหมู่เกาะ Cayman Islands ดินแดนที่เป็นแหล่งเงินเสรีที่ใช้ยักย้ายถ่ายทุนลับกัน
กรรมการสอบสวนว่า ทำไมถึงมีการทำธุรกรรมนี้อย่างลึกลับ ทางกลุ่มผู้บริหาร
Citigroup ร่วมกันตอบว่า ทำไปอย่างถูกต้องตามหลักการบัญชี และการใช้บริษัทโพ้นทะเลสำหรับธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทในอเมริกา
และ "ไม่มีอะไรผิดปกติที่กระทำกันใน Cayman Island"
เป็นไปไม่ได้ว่า การทำธุรกรรมปิดบังมหาชนนี้เป็นการกระทำโดยลูกจ้างระดับสูงของแต่ละบริษัท
ที่ติดต่อกับ Enron โดยที่ฝ่ายบริหารไม่รับรู้ เพราะเงิน Prepay แต่ละครั้งนั้นมี
จำนวนมหาศาล เกินกว่าที่ฝ่ายบริหารจะไม่ตรวจสอบ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า การทำธุรกรรมเล่นแร่แปรหนี้ทำนองนี้
เป็น "กลธุรกิจมหาชน" ที่ทำกันมานานแล้ว รวมถึงอาจมีบริษัทมหาชน อื่นๆ ที่ยักคิ้วหลิ่วตาอยู่กับบริษัทเงินทุนเพื่อร่วมกันทำการขอเงิน
ก้อนมาอุดค่าใช้จ่ายที่รั่วไหลเกินเหตุ ปิดบังคนภายนอกว่ามีหนี้สิน
พิพากษาผู้บริหารผิดรายแรก
วันพุธที่ 7 สิงหาคม ศาลได้ตัดสินคดีฉ้อโกงประชาชนรายแรกตั้งแต่มีกรณีฉาวโฉ่ขึ้นมาเป็นลูกโซ่
คือตัดสินให้ Samuel Waksal ตำแหน่ง CEO ของบริษัท Imclone System มีความผิดในข้อหาฉ้อโกงหุ้น
เมื่อพยายามขายหุ้นออก โดยอาศัยข้อมูลภายในบริษัท ทำให้ Samuel Waksal กลายเป็นภาพแทนของ
ผู้บริหารฉ้อฉลทั้งหลายในอเมริกา
Samuel ถูกจับกุมตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่เป็นข้อหาการ ฉ้อโกงหุ้น ไม่ใช่การตกแต่งบัญชีและยักยอกทรัพย์สินของบริษัท
อย่างที่มีการจับกุม Adelphia เป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม
เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาว่าเขาพยายามขายหุ้นและยังแจ้งสมาชิกครอบครัวให้ทราบ
ก่อนการประกาศต่อสาธารณชนว่า องค์กรอาหารและยา (FDA) ได้ปฏิเสธใบสมัครของบริษัทยาแห่งหนึ่ง
เกี่ยวกับการขอออกยามะเร็งชื่อ Erbitux ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทร่วงอย่างจัง
Samuel ถูกแจ้งข้อหาว่า รับข้อมูลจากฮาร์แลน ผู้น้องชาย ซึ่งทำงานเป็นหัวหน้าสำนักงานฝ่ายดำเนินการในช่วงนั้น
และตอนนี้เป็น CEO แทน เกี่ยวกับการปฏิเสธยาของ FDA Samuel ได้ขายหุ้น 79,797
หุ้นในทันทีและยังแจ้งให้พ่อและลูกสาวทราบ
อีกรายหนึ่งที่ยังอยู่ภายใต้การสอบสวนของทางการ คือ เจ้าแม่แม่บ้าน Martha
Stewart ซึ่งเป็นเพื่อนของ Samuel และ ขายหุ้นเกือบ 4,000 หุ้นของบริษัทยาออกหนึ่งวันก่อนที่ข่าวจาก
FDA ปรากฏสู่สาธารณชน Martha ให้การยืนยันว่า เธอทำอย่างถูกกฎหมาย และอาศัยฟังข้อมูลสาธารณะเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้เธอถูกฟ้องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นในบริษัทของเธอเอง ชื่อ Martha
Stewart Living Omnimedia
พบตัวเลขใหม่ WorldCom หมกหนี้ 5.8 พันล้าน
ต่อมาในวันที่ 8 สิงหาคม มีข่าวใหม่จากการเปิดเผยของ WorldCom ที่กำลังรื้อบัญชีอยู่ว่าบริษัทค้นพบตัวเลขบัญชีผิดพลาดอีก
2 พันล้านดอลลาร์ ในปีบัญชี 1999 และปีบัญชี 2000 ทำให้ตัวเลขบัญชีผิดพลาดของ
WorldCom กลายเป็น 5.8 ล้านดอลลาร์ เมื่อรวมกับยอด 2 ปีหลังที่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้
และส่งผลให้บริษัทล้มละลาย รวมทั้งมีการจับกุมผู้บริหารไปแล้ว ตัวเลขบัญชีผิดพลาดนี้
เป็นการลงบัญชีค่าใช้จ่ายเป็นเงินลงทุน ส่งผลให้บริษัทมีสินทรัพย์และกำไรเพิ่ม
ก่อนหน้านี้ เมื่อมีการแถลงถึงตัวเลขบัญชีผิดพลาดในปลายเดือนมิถุนายน บริษัทบอกว่า
บริษัทกำลังรื้อฟื้นบัญชีปีก่อนหน้า และอาจพบความผิดพลาดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม
ไม่มี ใครคาดคิดว่าตัวเลขจะสูงขนาดนี้ ยังมีข่าวว่า วิธีการที่ใช้ทำบัญชี
ตุ๋นนั้นผิดแผกไปด้วย คาดว่าเป็นการพยายามเพิ่มรายได้ โดยทำ บัญชีสินทรัพย์ให้หนี้สินกลายเป็นรายได้
ผู้บริหารของ WorldCom Scott Sullivan ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารการเงิน
และ David Myer ผู้ควบคุมบัญชีถูกจับกุมเป็นรายถัดมาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม
ในข้อหามีบทบาทหลักในการทำบัญชีตุ๋น และเป้าหมายต่อไปของอัยการกลางคือ Bernard
Ebbers อดีตหัวหน้าฝ่ายบริหาร หรือ CEO ที่อัยการกลางพยายามหาพยานมายืนยันความผิดอยู่
การค้นพบตัวเลขเพิ่มนี้ทำให้ความพยายามในการรื้อฟื้นบริษัทใหม่ หลังการขอศาลคุ้มครองภาวะล้มละลาย
ยิ่งยากขึ้น การขอคุ้มครองภาวะล้มละลายจะช่วยให้บริษัทดำเนินกิจการไปได้โดยสามารถหาเงินกู้เพิ่ม
และเจรจาผ่อนผันกับเจ้าหนี้ไม่ให้ตัด เงินสดหมุนเวียนสำหรับดำเนินงาน ที่ผ่านมาผู้บริหาร
WorldCom ได้พบกับเจ้าหนี้ของบริษัท โดย John W.Sidgmore หัวหน้าฝ่ายบริหารคนปัจจุบัน
แต่เจ้าหนี้ยังขาดความมั่นใจในตัวจอห์น เมื่อมีข่าวการค้นพบบัญชีตุ๋นใหม่
คำอธิบายของ WorldCom แม้จะสวยหรูแค่ไหนก็ปิดบังความเน่าเฟะเบื้องหลังไม่ได้
หลังเริ่มงานผู้สื่อข่าวกับผู้จัดการเมื่อ 14 ปีก่อน สุคนธพันธุ์ วีรวรรณ
ทำงานข่าวในหลายแขนงกับหนังสือพิมพ์รายวันอีก 2 ฉบับ และมีงานเขียนตามหน้านิตยสารต่างๆ
ก่อนเดินทางไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในปี 2542 และทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวพิเศษประจำสหรัฐอ