Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2545
บรรษัทภิบาลยุโรป : ก็ไม่ดีไปกว่าอเมริกันเท่าไร             
 


   
search resources

ABB Thailand
Vivendi




เหลียวมองบรรษัทภิบาลบริษัทยุโรป ก็มีปัญหายุ่งๆ ไม่แพ้คู่แข่งอเมริกัน

ในขณะที่บริษัทอเมริกันกำลังอับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก ก็น่าจะเป็นโอกาสอันเหมาะเหม็งที่สุดสำหรับบริษัทยุโรปที่จะฉวยโอกาสนี้ โฆษณาคุณความดีของโมเดลทุนนิยมแบบฉบับของตนที่นุ่มนวลกว่าเวอร์ชันอเมริกัน เพราะอย่างน้อยยุโรปก็เชื่องช้ากว่าในการมีพฤติกรรมการทำบัญชีที่ฉ้อฉลหรือการใช้หุ้น option ล่อใจผู้บริหารของบริษัท ซึ่งเป็นพฤติกรรมฉาวโฉ่ของบรรดาบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่ ที่กำลังถูกทั่วทั้งโลกรุมประณามอยู่ในเวลานี้ แต่แน่ใจหรือว่า ทุนนิยมสายพันธุ์ยุโรปซึ่งถูกวิจารณ์เรื่อยมาในช่วงหลายปีหลังๆ นี้ว่าล้าหลังและตายตัวไม่ยืดหยุ่น จะสามารถพิสูจน์ ความเหนือกว่าคู่แข่งสายพันธุ์อเมริกันได้สำเร็จ

บริษัทยุโรปหลายแห่งนอกจากจะไม่ได้กำลังพิสูจน์ว่า ตนเลิศเลอกว่าบริษัทมะกันแล้ว ยังกลับกระทำในทางตรงข้าม บรรษัทภิบาลแบบยุโรปยังคงรับใช้ผู้ถือหุ้นและเจ้าของอย่างไม่แตกต่างไปจากบริษัทอเมริกัน นอกจากนี้ ยังไม่ปลอดจากพฤติกรรมการตกแต่งบัญชีอีกด้วย จริงๆ แล้วดูเหมือนว่ายุโรปจะช้ากว่าสหรัฐฯ ก็แต่การเปิดโปงพฤติกรรมฉ้อฉลเหล่านั้นให้สาธารณชนรับรู้เท่านั้น

ตัวอย่างแรกของบริษัทยุโรปที่กำลังเผชิญปัญหาคือ Vivendi Universal กลุ่มบริษัทสื่อ, โทรคมนาคม และธุรกิจน้ำดื่มของฝรั่งเศส ซึ่งเกือบจะล้มละลายเมื่อเร็วๆ นี้ ในความเห็นของคนยุโรปหลายคน สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ Vivendi ถึงแก่เกือบเอาตัวไม่รอดในครั้งนี้ เป็นเพราะบริษัทเลียนแบบบริษัทอเมริกันมากเกินไป Jean-Marie Messier อดีตผู้บริหารสูงสุดของ Vivendi นำวิธีการทำธุรกิจและวิธีจูงใจผู้บริหารแบบอเมริกันมาใช้ เขาถึงกับย้ายจากกรุงปารีส ไปพำนักในกรุงนิวยอร์ก

รากเหง้าของปัญหาของ Vivendi คือปัญหาการเงิน หลังจากเชิญ Messier ออกในวันที่ 3 กรกฎาคม Vivendi ก็ประกาศว่า บริษัทกำลังมีปัญหาสภาพคล่อง ด้วยวิธีแก้ปัญหาแบบยุโรปที่ใช้กันเสมอมา ในวันที่ 9 กรกฎาคม บริษัทก็ได้รับวงเงินกู้ระยะสั้นก้อนใหม่จากธนาคารเจ้าหนี้มาต่อชีวิตบริษัทต่อไปได้อีกหลายเดือน แต่ยังไม่ทันที่หมึกที่เซ็นลงในสัญญากู้เงินจะแห้งสนิทดี ทางตลาดหุ้นฝรั่งเศสก็ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นสำนักงานของ Vivendi เพื่อสอบสวนรายงานการเงินของบริษัทตั้งแต่เดือนมกราคม 2001

แม้ว่าจะยังต้องรอดูกันต่อไปว่า ทางการจะค้นเจอพฤติกรรม ไม่ชอบมาพากลในการทำบัญชีของบริษัทหรือไม่ แต่อย่างน้อยขณะนี้ก็ดูเหมือนจะแน่ชัดแล้วว่า Messier และทีมงานของเขา ทำให้ สาธารณชนเข้าใจผิดในฐานะการเงินที่แท้จริงของบริษัท เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Vivendi นี้ไม่ต่างอะไรกับที่กำลังเกิดขึ้นกับ WorldCom บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังถูกสอบสวนในพฤติกรรมตกแต่งบัญชีเป็นมูลค่า 3.8 พันล้านดอลลาร์ ที่กำลังอื้อฉาวไปทั่วโลกในขณะนี้นั่นเอง

Vivendi ไม่ใช่บริษัทยุโรปรายเดียวที่มีวิธีการทำธุรกิจที่ไม่ชอบมาพากล ในวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ความจริงก็ถูกเปิดเผยขึ้นอีกว่า ABB กลุ่มบริษัทวิศวกรรมสัญชาติสวิต-สวีเดน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องชื่นชมอย่างสูง แต่วันนี้กลับค้นพบพฤติกรรมฉ้อฉลซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวเลขรายได้ของบริษัทในปี 1999-2000 ถึงแม้ว่า ABB จะไม่จำเป็นต้องแถลงรายงานการเงินใหม่ เนื่องจากผู้สอบบัญชีภายในบริษัทเองที่เป็นผู้ค้นพบความผิด พลาดครั้งนี้ อันส่งผลให้ผู้จัดการหลายคนของบริษัทที่ประจำอยู่ใน ลอนดอน ต้องถูกไล่ออกสังเวยความผิด กระนั้นก็ตาม เรื่องอื้อฉาว นี้ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัท

ABB เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอุตสาหกรรมของครอบครัว Wallenberg แห่งสวีเดน เคยเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทแบบยุโรปที่เน้นกิจการเจ้าของคนเดียว ซึ่งตรงข้ามกับบริษัทแบบอเมริกัน (และอังกฤษ) ที่นิยมกระจายความเป็นเจ้าของโดยอิงกับตลาดทุนเป็นหลัก แต่คงจะดีเกินไป เพราะในที่สุดก็ชัดเจนแล้วว่า บรรดาผู้จัดการของ ABB ต่างยอมทำผิดเพียงเพื่อปกป้องทรัพย์สินของเจ้าของบริษัทเท่านั้น นี่เป็นความจริงสำหรับบริษัทผลิตรถยนต์ Fiat ของอิตาลี ด้วยเช่นกัน Fiat ซึ่งเป็นกิจการของตระกูล Agnelli กำลังแบกภาระหนี้สินอย่างหนักและประสบปัญหาประสิทธิภาพการทำงานตกต่ำสุดขีด โดยเฉพาะในธุรกิจผลิตรถยนต์

ถ้าจะมีสิ่งที่ยุโรปพอจะภูมิใจได้มากกว่าสหรัฐฯ ก็เห็น จะเป็นการที่ธนาคารเริ่มแสดงอาการไม่เต็มใจที่จะอุ้มบริษัทที่มีปัญหาเหล่านี้แล้ว วันที่ 8 กรกฎาคม Babcock Borsig บริษัทวิศวกรรมแห่งหนึ่งของเยอรมนี ต้องล้มครืนลงหลังจากธนาคาร เจ้าหนี้ไม่ยอมปล่อยวงเงินกู้ก้อนใหม่มาต่อชีวิต

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง กลับสะท้อนความจริงที่ว่า ยังคงมีบริษัทยักษ์ใหญ่อีกมากมายในยุโรปที่กำลังป่วยหนัก แต่กลับยังมีลมหายใจอยู่ได้ เพราะการอุ้มของธนาคารอันเป็นประเพณีปฏิบัติในยุโรปมานานนักหนาแล้ว

แต่ถึงแม้ธนาคารจะขอถอนตัว รัฐบาลยุโรปกลับไม่อาจ ตัดใจ Fiat ได้รับการเสนอช่วยเหลือจากรัฐบาลอิตาลี ในขณะที่ France Telecom กับ Deutsche Telekom ซึ่งมีหนี้สินเป็นภูเขาเลากาและราคาหุ้นตกต่ำจนน่าใจหาย ก็ได้รับการคุ้มครองอย่างไม่เปิดเผยจากรัฐบาล รัฐบาลฝรั่งเศสดูจะไม่พยายามที่จะปฏิเสธข่าวลือที่ว่ารัฐบาลกำลังอุ้มบริษัทดังกล่าวเลย

บริษัทโทรคมนาคมอื่นๆ ของยุโรปยังมีปัญหาอื่นๆ ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาบรรษัทภิบาลของยุโรป ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 9 กรกฎาคม บริษัท Telefonica ของสเปน ได้แถลงงบการเงินใหม่จากกำไรสุทธิ ประจำปี 2001 เป็นจำนวน 2.1 พัน ล้านเปเซต้า (1.9 พันล้านดอลลาร์) เป็นผลขาดทุน 7.2 พันล้านเปเซต้า ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนทั้งใน ตลาดนิวยอร์ก และ Madrid ซึ่งมีมาตรฐานบัญชีแตกต่างกัน ทำให้บริษัทต้องรายงานงบการเงินภายใต้มาตรฐานบัญชี 2 ระบบ

ทั้งนี้ ตามกฎของอเมริกัน ค่าของ goodwill ที่เกิดจากการซื้อกิจการจะไม่เสื่อมค่าเป็นเวลา 20 ปี ในขณะที่ตามกฎการบัญชีของสเปนกลับยอมให้มีการลดค่าลงได้ เดมเลอร์-ไครสเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน-อเมริกัน ชื่อดัง ก็ชอบสร้างความสับสนในทำนองนี้อยู่บ่อยๆ เพราะต้องรายงานงบการเงินตามมาตรฐานบัญชี 2 ระบบเช่นเดียวกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ ราคาหุ้นของ Ahold ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติดัตช์ที่ทำธุรกิจใหญ่โตอยู่ในสหรัฐฯ ด้วย ถึงกับรูด มหาราช หลังจากที่นักลงทุนตกใจกับพฤติกรรมของบริษัท ที่พยายามจะเลิกใช้วิธีทำบัญชีตามมาตรฐานอเมริกัน และจะหันไปใช้วิธีการแบบยุโรปแทน

ล่าสุดนักลงทุนพากันตื่นตัวกับปัญหาบรรษัทภิบาล ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความสับสนของมาตรฐานบัญชีที่แตกต่างกันระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ในยุโรปนั่นเอง บรรษัทภิบาล ที่ตกต่ำของบรรดาบริษัทจดทะเบียนใน Wall Street ทำให้ตาสว่างกันแล้วว่า มาตรฐานการทำธุรกิจของเมริกันหาได้เลิศเลอไปกว่ายุโรปอย่างที่เคยเข้าใจกันไม่

สำหรับผู้ที่เคยเถียงว่าทุนนิยมแบบยุโรปมีดีมากกว่าสหรัฐฯ ด้วยปัญหาที่บริษัทยุโรปกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ โปรดทราบว่า โอกาส ของยุโรปที่จะอวดความดีที่เหนือกว่าสหรัฐฯ นั้นได้หลุดลอยไปเสียแล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us