หุ้น CPR แม้ราคาติดลบ แต่มูลค่าซื้อขายยังคงหนาแน่นสุดในบรรดาหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ mai แม้วันราคาตก 90 สตางค์ แต่ซื้อขายสูงเกิน 1 พันล้านบาท "นพดล" แจงไม่มีนัยเพราะ หุ้นส่วนใหญ่ติดไซเลนต์พีเรียด ขณะที่ฟรีโฟลตมีประมาณ 55 ล้านหุ้นเท่านั้น คาดอาจเพราะนักลงทุนเข้าเล่นหลายรอบหรือมีการไล่ราคา ทำให้ซื้อขายพุ่ง

วานนี้หุ้น CPR ของ บริษัท ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล จำกัด(มหาชน)ยังมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเช้าเปิดตลาดที่ราคา 5 บาท ลดลงจากวันก่อนที่ปิดที่ราคา 5.05 บาท หลังจากนั้นพบว่าราคาหุ้นค่อยๆ ปรับลดลงในช่วงแคบๆ ทำให้ราคาลงไปต่ำสุดที่ 4.72 บาท

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายราคาหุ้นขยับขึ้นไปที่ 4.74 บาท และพบว่าแรงซื้อค่อนข้างนิ่งแล้ว แต่เมื่อ 15.00 น. ราคาลดลง 45 สตางค์ อยู่ที่ 4.60 บาท มูลค่าซื้อ ขาย 165.20 ล้านบาท และใกล้ปิด ตลาดพบว่าราคาหุ้น CPR ปรับขึ้นเล็กน้อยและปิดตลาดที่ราคา 4.76 บาท ลดลง 29 สตางค์ มูลค่า ซื้อขาย 238.71 ล้านบาท และยังคงเป็นผู้นำของตลาดนี้เหมือนเคย ขณะที่ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 179.51 จุด เพิ่มขึ้น 0.51 จุด มูลค่า ซื้อขาย 284.68 ล้านบาท

นายนพดล วณิชวิศิษฎ์กุล กรรมการผู้จัดการ CPR กล่าวว่า ราคาหุ้นของวันก่อนที่นักลง ทุนเข้า มาเล่นกันที่ราคาเหนือ 5 บาท และมูลค่าซื้อขายเฉพาะหุ้น CPR ตัวเดียวนี้ทะลุ 1 พันล้านบาท ทำ ให้มูลค่าซื้อขายรวมของตลาด หลักทรัพย์ mai ในวันก่อนสูงจน แทบไม่น่าเชื่อนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากข่าวหรือกระแสอื่นใดของบริษัท

"ผมเชื่อว่าการเข้ามาซื้อขายหุ้นของเราไม่ได้มีผลจากข่าว อะไร แต่คงเพราะนักลงทุนเข้ามาเล่น เพราะมองว่าแนวโน้มดี บริษัทของเรามีการเติบโตและมีการจ่ายปันผลสูงถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับการจ่ายดอกเบี้ยของแบงก์ที่ในตลาดยังจ่ายกันต่ำ" นายนพดลกล่าว

เพราะเมื่อคำนวณจากปริมาณหุ้นที่มีการซื้อขายกันในตลาด หรือฟรีโฟลตนั้น พบว่ามีเพียง 55 ล้านหุ้นเท่านั้น เนื่องจาก ส่วนใหญ่หุ้นยังติดช่วงไซเลนต์ พีเรียดของบริษัทตามกฎของตลาดหลักทรัพย์อยู่ โดยปัจจุบันหุ้นมีอยู่ในมือของตระกูลวณิช- วิศิษฎ์กุลประมาณ 132 ล้านหุ้น หรือประมาณ 60% และยืนยันว่าจะไม่มีการขายหุ้นออก เพราะเป็นธุรกิจของตระกูลที่ทำกันมานาน

โดยเชื่อว่าการที่มูลค่าซื้อขาย สูงมากอาจมาจากการเข้าเทขายและช้อนซื้อของนักลงทุน คาดว่าน่าจะมีการเล่นกันแบบเทขายแล้วซื้อเกินกว่า 3 ครั้งหรืออาจมากกว่าเพื่อเล่นราคา เพราะจากปริมาณหุ้น 55 ล้านหุ้นที่ราคา เฉลี่ย 5 บาท เมื่อเทียบกับ ราคาสูงสุดที่เกินกว่า 7 บาทแล้วทำให้คำนวณและคาดการณ์ได้ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายนพดลก็ยังเชื่อว่า การที่หุ้น CPR ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ส่วน หนึ่งเพราะผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่การจ่ายเงินปันผลของบริษัทก็อยู่ในระดับที่ดี โดยปีที่ผ่านมานั้นบริษัทจ่ายเงินปันผลให้ แก่ผู้ถือหุ้นอัตราหุ้นละ 12 สตางค์ ส่วนผลการดำเนินงาน ของ CPR ก็มีแนวโน้มดีด้วยแม้ว่า ภาวะเศรษฐกิจจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยนัก
นายนพดลยังเชื่ออีกว่า การเอาใจใส่ของผู้บริหารและการระมัดระวังในการทำงานและทำให้ ผลงานออกมาดี น่าจะเป็นแรงจูงใจต่อนักลงทุนด้วย ส่วนการร่วมทุนกับมันโดะ (MANDO) ซึ่ง เป็นบริษัทผู้ผลิตโช้กอัพรายใหญ่ ของเกาหลีและเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือฮุนได ขณะนี้รอผลการสรุป ราคาที่จะตกลงซื้อขายต่อกัน คาด ว่าจะสรุปได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ และคงไม่ใช่สาเหตุของการเข้ามารุมเล่นของนักลงทุน เนื่องจาก เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาและเปิดเผยรายละเอียดไปแล้ว

ส่วนการเจรจาซื้อเขม่าควันดำจากจีนเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน เพราะปัจจุบันซื้อภายในประเทศกิโลกรัมละเกือบ 25 บาท ขณะที่จีนขายไม่เกินกิโลกรัมละ 22 บาท ขณะนี้ได้ข้อสรุปว่าโครงการดังกล่าวถูกยกเลิกแล้วเนื่องจากการส่งสินค้า ล่าช้า เพราะเพียงการให้ส่งสินค้ามาเพื่อให้ทดลองใช้ในกระบวน การผลิตก็พบว่าการจัดส่งล่าช้ามาก

"เราถือว่าเรายอมรับได้กับต้นทุนในปัจจุบัน เรามองว่าหากเราต้องซื้อจากจีนจริงๆ เราคง ไม่ทันใจแน่ เพราะส่งของช้ามาก เราต้องการความเที่ยงตรงมากกว่า สุดท้ายก็ต้องใช้ของคนไทยเรา ซึ่งปัจจุบันเรายังพอรับได้ถือว่าไม่หนักหนา" นายนพดลกล่าว

สำหรับการที่ค่าบาทอ่อนค่า ราคาน้ำมันพุ่ง และอื่นๆ ส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 15% แต่ CPR ก็ยังมีข่าวดีจากการที่บริษัท ยูชอนไพพ์(ไทยแลนด์) ที่จะเริ่ม ผลิตได้ปลายปีนี้ อันจะทำให้ลดต้นทุนด้านการรีดท่อเหล็กได้เอง จะทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทลดลงได้ประมาณ 5-7%

นายนพดลยังกล่าวถึงการเล็งหาพันธมิตรเพื่อที่จะร่วมทุนทำธุรกิจที่ต่อเนื่อง เพราะการทำ ธุรกิจต้องหลากหลาย เหมือนกับการที่บริษัทหันมาผลิตสินค้าที่หลากหลายเพิ่มขึ้น อันจะทำให้ลดความเสี่ยง ไม่ต้องอิงรายได้จากสินค้าเพียงตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น