Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน28 กรกฎาคม 2548
นายกค้าปลีกฟันธงปีนี้โต 10% จับตาเกมเทกโอเวอร์เริ่มกลับมา             
 


   
search resources

Retail




นายกค้าปลีกฟันธง ธุรกิจค้าปลีกปีนี้ยังไม่ลงเหว คาดเติบโต 10% เหตุหลายปัจจัยบวกหนุนตลาด เผยการขยายตัวค้าปลีกขนาดใหญ่ในเมืองเต็มกลืน ผู้ประกอบการดิ้นออกรอบนอกกรุงเทพฯ 7 จุดชานเมืองเริ่มบูม ด้านเอซีนีลเส็นเผยผลสำรวจผู้บริโภคใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าในไฮเปอร์มาร์ทมากกว่าในตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เกต

นายลิขิต ฟ้าปโยชนม์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ของธุรกิจค้าปลีกไทยในครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่ โดยคาดว่าสิ้นปี 2548 จะมีอัตราการเติบโต 10% ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 12% โดยมีปัจจัยบวกมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ, เมกะโปรเจกต์, การกระตุ้นตลาดท่องเที่ยว และการส่งเสริมการส่งออก

นอกจากนั้น ในปีนี้ตลาดไฮเปอร์มาร์เกตและดีพาร์ตเมนต์สโตร์มีการเติบโตด้านการขยายสาขาสูงมาก อาทิ กลุ่มซีอาร์ซี ที่เปิด Central World รวมทั้งกิจกรรมทางตลาดต่างๆ ที่คอยกระตุ้นตลาดไม่ให้ซบเซา รวมถึงสินค้าใหม่ๆ ที่มีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา เช่น สินค้าแฟชั่น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาค้าปลีกบางค่ายอาจมีการเติบโตเพียง 1% เท่านั้นในปีนี้ ขณะที่บางค่ายมีการเปิดสาขามากจึงทำให้โตได้ถึง 10%

ในส่วนปัจจัยลบนั้นจะมีปัจจัยหลักที่มาจากราคาน้ำมัน โดยจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกไปอีก 4-5 เดือน หลังจากวันที่มีการปรับขึ้นราคาน้ำมัน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงปรับขึ้นไม่หยุด ก็อาจส่งผลกระทบให้ตลาดค้าปลีกโดยรวมในปีนี้ อาจจะเติบโตเพียง 6% เท่านั้น

สำหรับกรณีการจัดโซนนิ่งธุรกิจค้าปลีกในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะทำให้การขยายสาขาขนาดใหญ่ของค้าปลีกลดลง โดยเฉพาะธุรกิจซูเปอร์เซ็นเตอร์ที่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายผังเมืองค้าปลีก ซึ่งจะไปส่งผลให้เกิดกรณี 1) ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์มีโอกาสขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น 2) ในส่วนซูเปอร์เซ็นเตอร์ต้องปรับแผนการขยายธุรกิจโดยการเทกโอเวอร์กิจการที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ก็ต้องจำกัดพื้นที่ขายไม่ให้เกิน 300 ตร.ม. 3) ตลาดค้าปลีกในต่างจังหวัดมีแนวโน้มขยายตัวได้มากกว่า เนื่องจากมีกฎเกณฑ์น้อยกว่าในกรุงเทพฯ

นายลิขิตยังกล่าวอีกว่า เมื่อธุรกิจซูเปอร์สโตร์ในกรุงเทพฯ ขยายตัวได้ไม่มาก เนื่องจากติดกฎหมายผังเมืองค้าปลีก จึงเล็งที่จะขยายธุรกิจออกไปบริเวณรอบนอกชานเมืองกรุงเทพฯ 7 จุด โดยโซนสุวรรณภูมิเป็น 1 ใน 7 ทำเลที่น่าสนใจด้วย ซึ่งเหมาะต่อการขยายธุรกิจซูเปอร์มาร์เกตเป็นหลัก

นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มเกิดการเทกโอเวอร์ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง เช่นกรณีย่านปิ่นเกล้าอีกด้วยจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องการขยายไปยังพื้นที่ดังกล่าว อาทิ พาต้าปิ่นเกล้า, อาคารเก่า ของเมอร์รี่คิงส์ ซึ่งยังมีค้าปลีกต่างชาติอีกหลายค่ายที่ยังไม่มีสาขาในย่านนั้นทั้งๆที่มีประชากรและกำลังซื้อจำนวนมาก

ด้านนายก้องเกียรติ พรรณวดี กรรมการบริหาร บริษัท เอซีนีลเส็น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดค้าปลีกเฉพาะจังหวัดที่มีไฮเปอร์มาร์เกต 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, พิษณุโลก, อุดรธานี, นครราชสีมา, หาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี โดยใช้ระยะเวลาสำรวจ 7 วัน พบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ 60% นิยมไปไฮเปอร์มาร์เกตบ่อยเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ยอดการใช้จ่ายในแต่ละครั้งสูงมาก ขณะที่นิยมไปซูเปอร์มาร์เกต คอนวีเนียนสโตร์ และโชวห่วยหรือตลาดสดบ่อยมาก ขณะที่ยอดการใช้จ่ายแต่ละครั้งน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกที่มีลักษณะเป็นนิชมาร์เกตมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น แม้ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน อาทิ ร้านซีดี ร้านหนังสือ เนื่องจากผู้บริโภคกำหนดลิสต์สินค้าที่ต้องการจะซื้อไว้แล้ว (Defined Destination Category) นอกจากนั้น ตลาดสดมีความสำคัญลดลง โดยผู้บริโภคมีแนวโน้มซื้อสินค้าประเภทอาหารสดจากโมเดิร์นเทรดเป็นทางเลือกแทนตลาดสดมากขึ้น

โดยเมื่อ 2 ปีก่อนผู้บริโภค 90% นิยมซื้ออาหารสดจากตลาดสด แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50% เท่านั้น นอกจากนั้นผู้บริโภคนิยมเข้าร้านมากกว่า 2 ร้านขึ้นไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จำนวนสาขาบริษัทค้าปลีกต่างๆ เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ยังไม่มีรายใดเป็นผู้นำด้านแบรนด์รอยัลตี้อย่างแท้จริง

สำหรับปัจจัยสำคัญในการทำตลาดค้าปลีกให้สำเร็จนั้น อันดับ 1 ได้แก่ ทำเล เพราะผู้บริโภคยังต้องการความสะดวกสูง อันดับ 2 ได้แก่ ราคา อันดับ 3 ได้แก่ assortment อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านราคามีแนวโน้มสำคัญน้อยกว่า assortment เนื่องจากปีที่แล้วมีการแข่งขันลดราคา ผู้บริโภคเริ่มชินแล้ว อีกทั้งยอมจ่ายเพิ่มอีก 5% เพื่อแลกกับความสนุกในการเดินซื้อสินค้า ดังนั้นธุรกิจค้าปลีกจึงควรหันมาสนใจตกแต่งร้านค้าเพิ่มขึ้นโดยให้สอดคล้องกับเทศกาลต่างๆ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us