นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า ซีอาร์ซีได้วางเป้าหมายแผนธุรกิจที่กำหนดทิศทางและเป้าหมาย ธุรกิจ 5 ปีข้างหน้าภายใต้ชื่อ "วิชั่น 2010" ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2006-2010 โดยตั้งเป้าที่จะเป็นรีจินัลลีดเดอร์ในธุรกิจค้าปลีกภูมิภาคเอเชีย จากเดิมที่เคยตั้งเป้าเป็นเพียงระดับโดเมสติก ลีดเดอร์ในธุรกิจค้าปลีกไทย
การที่เซ็นทรัลมุ่งขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯมีความพร้อม โดยล่าสุดนิตยสาร Retail Asia ฉบับเดือนมิถุนายน 2005 ได้จัดอันดับให้กลุ่มเซ็นทรัลรวมกับบิ๊กซีเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมียอดขายรวม 1.2 แสนล้านบาทสูงที่สุดในภูมิภาค
นอกจากนั้นยังมองว่า ตลาดในประเทศไทยเริ่มเล็กลงแล้ว มีประชากรเพียง 60 ล้านคน ขณะที่ตลาดในภูมิภาคนี้เป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยมุ่งขยายการลงทุน ไปยังตลาดอาเซียน และจีน เป็นอันดับแรก เนื่องจาก มีสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม และรสนิยมคล้ายคลึง กัน
นายทศ เปิดเผยว่า อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็น 2 ประเทศแรกที่ซีอาร์ซีจะมีการลงทุน เนื่องจาก มีประชากรรวมกันกว่า 400 ล้านคน ขณะเดียวกันกฎหมายเวียดนามเปิดกว้างให้แก่นักลงทุนต่างชาติ โดยเซ็นทรัลจะเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกแรกๆที่เข้าไปเปิดตลาดในเวียดนาม ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามา ทำให้เชื่อว่ากำลังซื้อในประเทศจะสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จใน 3-5 ปี
นอกจากนั้น เมื่อซีอาร์ซีไปเปิดตลาดในต่างประเทศ จะเป็นโอกาสผลักดันให้สินค้าแบรนด์ไทยเข้าสู่ตลาดระดับรีจินัลมากขึ้น เนื่องจากซัปพลายเออร์ของเซ็นทรัลที่มีอยู่ 4,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีอยู่แล้ว
"ขั้นตอนล่าสุดบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับ คู่ค้าต่างประเทศ 5-10 แห่ง โดยบริษัทฯ ได้เตรียมเงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาทต่อปีไว้แล้ว เนื่องจาก ค้าปลีกต่างประเทศเป็นอะไรที่คาดเดายากมาก บริษัทฯจึงส่งทีมไปศึกษาตลาดเป้าหมายมานาน 12 เดือนแล้ว โดยถือเป็นความท้าทายในการเปิดแนวทาง ในการสร้างธุรกิจไปยังต่างประเทศในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องเรียนรู้พอสมควร"
สำหรับแผนการลงทุนในประเทศไทยตามวิชัน 2010 นั้น เป็นการขยายลงทุนในโครงการที่ต่อเนื่อง จากเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา โดยในอดีตบริษัทฯ ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 2,600 ล้านบาทในโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต และการเปิดสาขาใหม่ของเพาเวอร์บาย, บีทูเอส และซูเปอร์สปอร์ต เมื่อปี 2547
ส่วนการลงทุนในอีก 12 เดือนข้างหน้า (นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 48) ได้จัดสรรงบลงทุนมากกว่า ปีก่อน โดยมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท ได้แก่ การลงทุนในโครงการ CRC Flagship Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์พลาซา ซึ่งใช้งบลงทุนกว่า 2,600 ล้านบาท โดยเป็นการเช่าที่ของบริษัทในเครือเซ็นทรัลรีเทล 1.1 แสน ตร.ม. ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ZEN 5 หมื่น ตร.ม., ZEN World 3 หมื่น ตร.ม. ที่เหลือเป็นของเพาเวอร์บาย, บีทูเอส, ซูเปอร์สปอร์ต และ World Central Food Hall ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน การที่จะพัฒนาเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา ให้กลายเป็น Landmark of the World ในอนาคต
"บริษัทฯ ตั้งเป้าให้เซ็นทรัลเวิลด์พลาซา มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยกลางปี 2549 กรุงเทพฯจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการเปิดตัวเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา ซึ่งในอดีตเซ็นทรัล ชิดลมเป็นห้างฯที่สมบูรณ์แบบที่สุดในกลุ่มซีอาร์ซี แต่ ปัจจุบันบริษัทฯได้พุ่งเป้ามาพัฒนาเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา โดยเริ่มจากพัฒนาให้มีพื้นที่ใหญ่กว่าเซ็นทรัล ชิดลมถึง 2 เท่า ในส่วนของ ZEN ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2550 นั้น ได้มุ่งพัฒนาให้เป็นเซ็นทรัลชิดลม 2 แต่จะจับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เน้นแฟชั่นและเทรนด์เป็นหลัก ขณะที่เซ็นทรัลชิดลมจับกลุ่มลูกค้า General Public ขณะที่ ZEN World อยู่ชั้นบนสุด ของห้างฯ โดยมุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ครบวงจร อาทิ ฟิตเนส สปา บิวตี้ แกลลอรี การศึกษา"
ส่วนโครงการเซ็นทรัลทาวน์รัตนาธิเบศร์ ซึ่งมีห้างโรบินสันไปเปิดสาขาใหม่ และโฮมเวิร์คในรูปแบบ คอนเซ็ปต์ใหม่ รวมทั้งมีพื้นที่ประมาณ 1 หมื่นตร.ม. ซึ่งใหญ่กว่าเดิมที่มีเพียง 5-6 พันตร.ม. นอกจากนั้นยังมีเพาเวอร์บาย, ซูเปอร์สปอร์ต และบีทูเอส
ในเดือนสิงหาคม 2548 จะเปิดตัวห้างโรบินสัน สาขาใหม่ ซึ่งนับเป็นสาขาแรกในรอบ 8 ปี ของโรบินสันที่มีการขยายสาขาหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยโรบินสันเพิ่งกลับมาขยายสาขาที่นี่เป็นครั้งแรก และเป็นต้นแบบของห้างโรบินสันรูปแบบใหม่"
นอกจากนั้น ในครึ่งปีหลังจะมีแผนการลงทุนขยายสาขาเหมือนเดิม โดยไม่มีการปรับแผน รวมทั้งสิ้น 30 สาขา ดังนั้นสิ้นปีนี้ ซีอาร์ซีจะมีสาขาของ บริษัทฯในเครือรวมทั้งหมด 346 สาขา
สำหรับผลประกอบการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นายทศกล่าวว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นบริษัทฯประสบ ความสำเร็จทั้งด้านยอดขาย การขยายธุรกิจและสาขา รวมทั้งกำไร โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มี ยอดขาย 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงเดียว กันของปีก่อน 27% โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดขายรวมทั้งปี 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 17%
อย่างไรก็ตาม ยอดขายปีนี้ถือว่าโตน้อยลงตาม สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจาก สึนามิ และการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล โดยปีที่แล้วบริษัทฯมียอดขาย 60,000 ล้านบาท โตจากปี 2546 ถึง 50% สำหรับผลกำไรในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาก็ได้เพิ่มขึ้นเช่นกันโดยมีอัตราเติบโต 35% และคาดว่าผลกำไรเมื่อสิ้นปี 2548 จะมีเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%
ปัจจัยหลักที่มาช่วยกระตุ้นให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว มาจากยอดขาย ของท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่มีอัตราการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ใหม่ในเครือซีอาร์ซี ที่บริษัทฯ เพิ่งซื้อกิจการมาจาก Royal Ahold เมื่อเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว
นอกจากนั้น นายทศมองว่าปัจจัยหลักที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลัง และจะส่งผลให้บริษัทฯ มีการเติบโตของยอดขายได้ตามเป้า ในปีนี้ มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเพิ่ม Spending Power ให้แก่ภาคประชาชนของรัฐบาล รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนไม่หยุดใช้จ่าย กลุ่มนักลงทุนยังคงเดินหน้าลงทุนต่อไป
เซ็นทรัลหอบหมื่นล.ลุยตปท. ทศ เปิดยุทธศาสตร์รุกใหม่ "วิชั่น 2010" เบนเข็มขยายตลาดค้าปลีกย่านเอเชีย ตั้งเป้าเป็น รีจินัลลีดเดอร์ ชิมลางอาเซียน 5 ประเทศ และจีน เผย มีสิทธิ์ปักธงตลาด 2 ประเทศแรกคือ อินโดนีเซีย และเวียดนาม เตรียมอัดเม็ดเงินลงทุนปีละหมื่นล้านบาท-สรรหา คู่ค้าเพิ่ม เผยปีนี้รับสภาพ สึนามิ-ราคาน้ำมัน กระทบยอดขายตก คาดสิ้นปีโตแค่ 17%
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า ซีอาร์ซีได้วางเป้าหมายแผนธุรกิจที่กำหนดทิศทางและเป้าหมาย ธุรกิจ 5 ปีข้างหน้าภายใต้ชื่อ "วิชั่น 2010" ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2006-2010 โดยตั้งเป้าที่จะเป็นรีจินัลลีดเดอร์ในธุรกิจค้าปลีกภูมิภาคเอเชีย จากเดิมที่เคยตั้งเป้าเป็นเพียงระดับโดเมสติก ลีดเดอร์ในธุรกิจค้าปลีกไทย
การที่เซ็นทรัลมุ่งขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯมีความพร้อม โดยล่าสุดนิตยสาร Retail Asia ฉบับเดือนมิถุนายน 2005 ได้จัดอันดับให้กลุ่มเซ็นทรัลรวมกับบิ๊กซีเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมียอดขายรวม 1.2 แสนล้านบาทสูงที่สุดในภูมิภาค
นอกจากนั้นยังมองว่า ตลาดในประเทศไทยเริ่มเล็กลงแล้ว มีประชากรเพียง 60 ล้านคน ขณะที่ตลาดในภูมิภาคนี้เป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยมุ่งขยายการลงทุน ไปยังตลาดอาเซียน และจีน เป็นอันดับแรก เนื่องจาก มีสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม และรสนิยมคล้ายคลึง กัน
นายทศ เปิดเผยว่า อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็น 2 ประเทศแรกที่ซีอาร์ซีจะมีการลงทุน เนื่องจาก มีประชากรรวมกันกว่า 400 ล้านคน ขณะเดียวกันกฎหมายเวียดนามเปิดกว้างให้แก่นักลงทุนต่างชาติ โดยเซ็นทรัลจะเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกแรกๆที่เข้าไปเปิดตลาดในเวียดนาม ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามา ทำให้เชื่อว่ากำลังซื้อในประเทศจะสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จใน 3-5 ปี
นอกจากนั้น เมื่อซีอาร์ซีไปเปิดตลาดในต่างประเทศ จะเป็นโอกาสผลักดันให้สินค้าแบรนด์ไทยเข้าสู่ตลาดระดับรีจินัลมากขึ้น เนื่องจากซัปพลายเออร์ของเซ็นทรัลที่มีอยู่ 4,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีอยู่แล้ว
"ขั้นตอนล่าสุดบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับ คู่ค้าต่างประเทศ 5-10 แห่ง โดยบริษัทฯ ได้เตรียมเงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาทต่อปีไว้แล้ว เนื่องจาก ค้าปลีกต่างประเทศเป็นอะไรที่คาดเดายากมาก บริษัทฯจึงส่งทีมไปศึกษาตลาดเป้าหมายมานาน 12 เดือนแล้ว โดยถือเป็นความท้าทายในการเปิดแนวทาง ในการสร้างธุรกิจไปยังต่างประเทศในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องเรียนรู้พอสมควร"
สำหรับแผนการลงทุนในประเทศไทยตามวิชัน 2010 นั้น เป็นการขยายลงทุนในโครงการที่ต่อเนื่อง จากเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา โดยในอดีตบริษัทฯ ใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 2,600 ล้านบาทในโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต และการเปิดสาขาใหม่ของเพาเวอร์บาย, บีทูเอส และซูเปอร์สปอร์ต เมื่อปี 2547
ส่วนการลงทุนในอีก 12 เดือนข้างหน้า (นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 48) ได้จัดสรรงบลงทุนมากกว่า ปีก่อน โดยมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท ได้แก่ การลงทุนในโครงการ CRC Flagship Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์พลาซา ซึ่งใช้งบลงทุนกว่า 2,600 ล้านบาท โดยเป็นการเช่าที่ของบริษัทในเครือเซ็นทรัลรีเทล 1.1 แสน ตร.ม. ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ZEN 5 หมื่น ตร.ม., ZEN World 3 หมื่น ตร.ม. ที่เหลือเป็นของเพาเวอร์บาย, บีทูเอส, ซูเปอร์สปอร์ต และ World Central Food Hall ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน การที่จะพัฒนาเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา ให้กลายเป็น Landmark of the World ในอนาคต
"บริษัทฯ ตั้งเป้าให้เซ็นทรัลเวิลด์พลาซา มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยกลางปี 2549 กรุงเทพฯจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการเปิดตัวเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา ซึ่งในอดีตเซ็นทรัล ชิดลมเป็นห้างฯที่สมบูรณ์แบบที่สุดในกลุ่มซีอาร์ซี แต่ ปัจจุบันบริษัทฯได้พุ่งเป้ามาพัฒนาเซ็นทรัลเวิลด์พลาซา โดยเริ่มจากพัฒนาให้มีพื้นที่ใหญ่กว่าเซ็นทรัล ชิดลมถึง 2 เท่า ในส่วนของ ZEN ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2550 นั้น ได้มุ่งพัฒนาให้เป็นเซ็นทรัลชิดลม 2 แต่จะจับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เน้นแฟชั่นและเทรนด์เป็นหลัก ขณะที่เซ็นทรัลชิดลมจับกลุ่มลูกค้า General Public ขณะที่ ZEN World อยู่ชั้นบนสุด ของห้างฯ โดยมุ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ครบวงจร อาทิ ฟิตเนส สปา บิวตี้ แกลลอรี การศึกษา"
"ส่วนโครงการเซ็นทรัลทาวน์รัตนาธิเบศร์ ซึ่งมีห้างโรบินสันไปเปิดสาขาใหม่ และโฮมเวิร์คในรูปแบบ คอนเซ็ปต์ใหม่ รวมทั้งมีพื้นที่ประมาณ 1 หมื่นตร.ม. ซึ่งใหญ่กว่าเดิมที่มีเพียง 5-6 พันตร.ม. นอกจากนั้นยังมีเพาเวอร์บาย, ซูเปอร์สปอร์ต และบีทูเอส "
ในเดือนสิงหาคม 2548 จะเปิดตัวห้างโรบินสัน สาขาใหม่ ซึ่งนับเป็นสาขาแรกในรอบ 8 ปี ของโรบินสันที่มีการขยายสาขาหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยโรบินสันเพิ่งกลับมาขยายสาขาที่นี่เป็นครั้งแรก และเป็นต้นแบบของห้างโรบินสันรูปแบบใหม่
นอกจากนั้น ในครึ่งปีหลังจะมีแผนการลงทุนขยายสาขาเหมือนเดิม โดยไม่มีการปรับแผน รวมทั้งสิ้น 30 สาขา ดังนั้นสิ้นปีนี้ ซีอาร์ซีจะมีสาขาของ บริษัทฯในเครือรวมทั้งหมด 346 สาขา
สำหรับผลประกอบการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นายทศกล่าวว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นบริษัทฯประสบ ความสำเร็จทั้งด้านยอดขาย การขยายธุรกิจและสาขา รวมทั้งกำไร โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มี ยอดขาย 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงเดียว กันของปีก่อน 27% โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดขายรวมทั้งปี 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 17%
อย่างไรก็ตาม ยอดขายปีนี้ถือว่าโตน้อยลงตาม สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจาก สึนามิ และการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล โดยปีที่แล้วบริษัทฯมียอดขาย 60,000 ล้านบาท โตจากปี 2546 ถึง 50% สำหรับผลกำไรในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาก็ได้เพิ่มขึ้นเช่นกันโดยมีอัตราเติบโต 35% และคาดว่าผลกำไรเมื่อสิ้นปี 2548 จะมีเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%
ปัจจัยหลักที่มาช่วยกระตุ้นให้ยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว มาจากยอดขาย ของท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่มีอัตราการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ใหม่ในเครือซีอาร์ซี ที่บริษัทฯ เพิ่งซื้อกิจการมาจาก Royal Ahold เมื่อเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว
นอกจากนั้น นายทศมองว่าปัจจัยหลักที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลัง และจะส่งผลให้บริษัทฯ มีการเติบโตของยอดขายได้ตามเป้า ในปีนี้ มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเพิ่ม Spending Power ให้แก่ภาคประชาชนของรัฐบาล รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนไม่หยุดใช้จ่าย กลุ่มนักลงทุนยังคงเดินหน้าลงทุนต่อไป
|