ตลาดฟาสต์ฟูดชูกระแสอาหารไทยเป็นจุดขาย หลังพบ ว่าการพึ่งเมนูหลักเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มขึ้น
ได้ ด้านกลุ่มอีซี่ส์ ฟาสต์ฟูดสัญชาติไทยที่ประกาศปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อ
รับมือการแข่งขันกับเชนฟาสต์ฟูดระดับโลก พร้อมวาดฝันอยากทะยานสู่ตลาดต่างประเทศ
การแข่งขันในธุรกิจฟาสต์ฟูด กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เมื่อฟาสต์ฟูดทุกค่ายต่างหันมาสร้างกลยุทธ์ในการขายด้วยการใช้เมนูอาหารไทยเป็นตัวทำโปรโมชั่น
เริ่มจากร้าน เอ แอนด์ ดับบลิว ที่นำเมนูข้าวมาเสริมจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภค
ตามมาด้วยเชสเตอร์ กริลล์ ที่มีเมนู ข้าวยำ จนกระทั่งฟาสต์ฟูดรายใหญ่อย่างแมคโดนัลด์
ต้อง ออกเมนู แมคดี ที่มีข้าวเหนียวกับไก่ทอด ส่วนเคเอฟซีเองก็เปิดตัวเมนู
ข้าวยำไก่แซบ และทางกลุ่มอีซี่ส์ ก็กำลังจะออกมาเมนูข้าวแกงเขียวหวาน มาทำตลาดด้วย
เช่นเดียวกัน
นายสุภัค หมื่นนิกร ประธาน บริหาร บริษัท อีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์
จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดอาหารไทยในปัจุบัน บังคับให้ฟาสต์ฟูดทุกค่ายต้องลงมา
เล่นเมนูข้าว เนื่องจากเป็นอาหารหลักของคนไทย และเป็นสิ่งที่ลูกค้า ต้องการอาหารมื้ออิ่ม
มากกว่าการรับประทานอาหารในเมนูแบบเดิมๆ ซึ่งหลังจากที่ทุกค่ายออกเมนูข้าวมา
ทำตลาดแล้ว พบว่าสามารถกระตุ้น ตลาดได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ฟาสต์ฟูด ประเภทพิซซ่า
ก็พยายาม เพิ่มเมนูประเภทเส้นขึ้นมา เพื่อให้เข้ากับอาหารประเภทพิซซ่า เช่น
การมีเมนูพลาสต้า และสปาเก็ตตี้ เป็นต้น
"การขยายตัวเข้ามาทำเมนูอาหารไทย ของฟาสต์ฟูดทุกค่ายในทุกวันนี้ ประเด็นหลักก็คงเป็น
เพราะมูลค่าตลาดของฟาสต์ฟูดมีเพียงหมื่นล้าน บาทเศษ เมื่อเทียบกับอาหารประเภทภัตตาคารและร้านข้าวแกง
ก๋วยเตี๋ยวข้างถนน ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว จะเห็นว่าน้อยมาก
ทำให้ทุกค่ายต่างก็ต้องหันมาแย่งตลาดในกลุ่มนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าของตลาดฟาสต์ฟูดให้มากขึ้น
นอก จากนี้ ยังเป็นเพราะกระแสของคนไทยที่มีความนิยมไทยมากขึ้น ผนวกกับการต่อต้านธุรกิจต่าง
ชาติ ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ก็คือ ธุรกิจค้า ปลีก ทำให้กลุ่นธุรกิจที่เป็นต่างชาติจะต้องหาวิธีการที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ใกล้ชิดมากยิ่ง
ขึ้น ซึ่งการออกเมนูอาหารไทย ก็เป็นการแสดง ออกถึงการเข้าถึงความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี"
จากการแข่งขันที่มากขึ้นเช่นนี้ ส่งผลให้ทาง บริษัทอีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล
แฟรนไชส์ จำกัด จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ องค์กร และรองรับการขยายตัวและการแข่งขันใน
ธุรกิจฟาสต์ฟูดที่เพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่
มีนายสุภัค หมื่น-นิกร ซึ่งเดิมเป็นกรรมการผู้จัดการ เปลี่ยนไปเป็น ประธานบริหาร
และแต่งตั้งนางพัชราวดี หมื่นนิกร (ภรรยา) ที่ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทั่วไปให้แก่โรงภาพยนตร์พานาโซนิค
ไอแมกซ์ มาทำหน้าที่เป็น รองประธานบริหาร ดูแลงานด้านการตลาด การขยายสาขา
และการขายแฟรนไชส์ร้านอีซี่ส์ ในขณะที่นายสุภัค จะทำหน้าที่ดูแลงานในส่วนสำนักงานและการฝึกอบรม
นอกจากนี้ยังมีนางวิชชุดา กังบุรานนท์ เดิมอยู่ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด
เข้ามาทำหน้าที่ดูแลงานด้านบัญชีและการเงินของสยาม สเต็กกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ
อีซี่ส์
นางพัชราวดี กล่าวว่า การปรับโครงสร้างใน ครั้งนี้จะทำให้ทิศทางการตลาด
การขยายสาขา และการทำธุรกิจในภาพรวมมีความชัดเจนมากยิ่ง ขึ้น ในด้านการขยายสาขานั้น
ในปีนี้คาดว่าจะเปิด ร้านในลักษณะภัตตาคารเพิ่มอีก 1 แห่งที่เซ็นทรัล พระราม
2 ซึ่งเป็นร้านขยายใหญ่ที่จะใช้เป็นร้านต้นแบบในการปรับปรุงจุดอ่อนของร้านเดิมๆที่เปิดให้บริการมาแล้ว
ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และร้านนี้จะเป็นร้านต้นแบบสำหรับการขายแฟรนไชส์ด้วย
โดยปัจจุบันอีซี่ส์ เปิดร้านประเภทภัตตาคารแล้ว 4 แห่ง และเป็นร้านประเภทคีย์ออส
8 แห่ง และในปั๊มน้ำมัน 9 แห่ง
สำหรับเป้าหมายต่อไปนั้น บริษัทได้รับการ สนับสนุน จากบอย. เพื่อศึกษาและพัฒนาระบบ
สำหรับการเตรียมขายแฟรนไชส์ ให้แก่ผู้สนใจด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับการติดต่อจากทั้งกลุ่ม
ผู้สนใจภายในประเทศ และจากต่างประเทศ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น รวมทั้งสหรัฐอเมริกา
แต่ การขยายในต่างประเทศนั้นคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 3-5 ปี
สำหรับผลการดำเนินงานของอีซี่ส์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีอัตราการเติบโต
25% โดยคาด ว่าในสิ้นปีนี้จะมียอดขาย 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปี 2544 ที่มียอดขาย
33 ล้านบาท