Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 สิงหาคม 2545
ช่อง3ขึ้นราคาป่วนสื่ออื่น เอเยนซี่ชี้กำลังซื้อไม่ฟื้น             
 


   
www resources

โฮมเพจ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3

   
search resources

บีอีซี เวิลด์, บมจ.
อินนิชิเอทีฟ, บจก.




อินนิทิเอทิฟว์ เอเยนซี่ ซื้อสื่อรายใหญ่ ชี้ช่อง 3 ขึ้นราคาโฆษณา ลูกค้าตัดงบสื่ออื่นทั้ง วิทยุ หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา เผยภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวแบบยั่งยืน เติบโตเป็นบางกลุ่ม จากดอกเบี้ยต่ำ เช่นอสังหาฯ รถยนต์ ส่วนกลุ่มคอนซูเมอร์ยังไม่ฟื้นตัวจริง จากค่ายยักษ์อัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย

นางวรรณี รัตนพล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินนิทิเอทิฟว์ มีเดีย จำกัด บริษัทซื้อสื่อโฆษณารายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า "ผู้จัดการรายวัน" ว่า การปรับเตรียมขึ้นราคาค่าโฆษณา ของช่อง 3 ในเดือนต.ค.นี้ ถือเป็นการทำ ลายบรรยากาศการใช้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อทีวี เพราะการปรับขึ้น ราคาในแต่ละครั้งลูกค้าขนาดกลาง และลูกค้าท้องถิ่นในประเทศไทย ที่มีงบประมาณโฆษณาจำกัด จะชะลอการใช้เงิน ไว้ก่อน ส่วนลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ อาจจะลดปริมาณโฆษณาในทีวีลง

ทั้งนี้ เชื่อว่าช่อง 3 คงปรับราคาโฆษณาขึ้นแน่นอน เพราะได้ชะลอการปรับมาตั้งแต่ต.ค. ปีก่อนหลังเกิดเหตุการณ์ วินาศกรรมประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเอเยนซี่ได้รวมตัวกันและขอร้องไม่ให้ช่อง 3 ปรับราคาในช่วงนั้น แต่ในปีนี้สถานการณ์แตกต่างกัน และไม่มีเหตุผลใดที่จะอ้างกับช่อง3 ไม่ให้ปรับราคาขึ้นได้ และเอเยนซี่ก็ไม่ได้รวมตัวกันเหมือน ปีก่อน ที่ทุกคนเห็นว่าหากทีวีปรับราคา ก็จะส่งกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมแน่นอน

การปรับราคาของช่อง 3 ในเดือนต.ค.นี้ เชื่อ ว่าจะกระทบกับลูกค้าและสื่ออื่นๆ คือเมื่อลูกค้ามีงบโฆษณาจำกัด และจำเป็นต้องลงสื่อทีวีจากจุด เด่นที่ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วประเทศ ลูกค้าคงต้อง ไปตัดงบประมาณในสื่อเสริมที่จะลงคู่กับสื่อทีวี ดังนั้นสื่อที่จะได้รับผลกระทบกับการขึ้นค่าโฆษณา คือ สื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ และป้ายโฆษณา เพราะส่วนใหญ่เป็นสื่อที่ใช้ควบคู่กับสื่อทีวี

นางวรรณีกล่าวต่อว่า ปัจจัยหลักที่ช่อง 3 นำมาพิจารณาขึ้นราคาโฆษณา คือเห็นว่าช่วงเวลา ขายโฆษณาหลัก คือ ช่วง ละคร และข่าว สามารถ ขายโฆษณาได้เต็มตั้งแต่เดือน ก.พ. เป็นต้นมา จึง ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจว่าน่าจะฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่ที่จริงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น และต้องใช้ระยะเวลาอีกพักหนึ่ง

ทั้งนี้การฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ ไม่สามารถนำมาเป็นปัจจัยวัดการฟื้นตัวของภาพ รวมเศรษฐกิจได้ เพราะเป็นกำลังซื้อของคนกลุ่ม บนที่มีเงินเก็บ แต่ไม่อยากเก็บเงินไว้ เพราะได้ผล ตอบแทนด้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ จึงมาจับจ่ายใช้สอยในอสังหาฯ และรถยนต์ ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำแทน

ส่วนภาคการจับจ่ายใช้สอยหลักของประเทศ คือในกลุ่มคนชั้นกลางถึงล่าง กำลังซื้อยังไม่ถือว่าฟื้นตัวเต็มที่ จะเห็นได้จากการออกมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค เป็นสัญญานที่บอกให้ทราบว่า กำลังซื้อของประชาชนโดยรวมยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างมั่นคง ไม่เช่นนั้นคงไม่เห็นกิจกรรมการตลาดของสินค้าคอนซูเมอร์

"ปัจจัยสำคัญของการจัดโปรโมชั่น คือ การ ตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค เพื่อเพิ่มยอดขายให้สินค้า ดังนั้นการออกมาโฆษณาสินค้า การจัดโปรโมชั่น ของค่ายคอนซูเมอร์ยักษ์ใหญ่ในขณะนี้ผ่านสื่อต่างๆ ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าค่ายคอนซูเมอร์ยังไม่บรรลุเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ ซึ่งก็น่าจะมา จากปัญหาภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าสามารถฟื้นตัวได้จริงหรือไม่" นางวรรณีกล่าว

ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาการใช้จ่ายเม็ดเงิน โฆษณาในกลุ่มคอนซูเมอร์ บางตัวยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่น กลุ่มแฮร์แคร์ ลดลง 25% จาก1,215 ล้านบาท เหลือ 912 ล้านบาท กลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดลง 12% จาก 1,279 ล้านบาท เหลือ 1,064 ล้านบาท ส่วนกลุ่มที่ใช้เงินเพิ่มขึ้น คือ มือถือ เพิ่มขึ้น 34% จาก 2,103 ล้านบาท เป็น 2,811 ล้านบาท รถยนต์ เพิ่มขึ้น 16% จาก 1,300 ล้านบาท เป็น 1,500 ล้านบาท และอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 11% จาก 730 ล้านบาท เป็น 808 ล้านบาท

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us