|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ สิงหาคม 2548
|
|
นักอักษรศาสตร์ไม่ค่อยถูกชะตากับตัวเลข ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมเป็นอย่างนั้น จำได้ว่าสมัยเรียนหนังสือ คะแนนที่ได้จากการสอบคณิตศาสตร์ไม่เคยต่ำกว่าเก้าสิบ หากพอเลือกเรียนสายศิลป์ ความปราดเปรื่องเรื่องเลขคณิตพานถูกภาษาต่างประเทศกลืนกินไปหมด แปลกใจจริงๆ กลายเป็นเป้านิ่งให้พี่น้องค่อนขอดเสมอมา
เรื่องเศรษฐกิจยากเกินกว่าจะเข้าใจ นักเศรษฐศาสตร์ใช้ศัพท์เทคนิคในการอธิบาย ก็ศัพท์เทคนิคนี่แหละที่ข้องขัด แม้จะเป็นศัพท์ง่ายๆ ก็ตาม เมื่อครั้งต้องแปลสรุปข่าวเกี่ยวกับไทยเป็นภาษาฝรั่งเศสให้นักการทูตอ่าน พอเป็นเรื่องเศรษฐกิจ อาการมึนงงเริ่มถามหา ยังดีที่สามารถใช้ศัพท์เศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แค่ระดับเดียวจริงๆ จะให้ลึกซึ้งมากกว่านั้นมิสามารถเสียแล้ว
สมัยเด็ก ทองคำราคาสี่ร้อยกว่าบาทต่อน้ำหนักหนึ่งบาท หลังตรุษจีน แม่จะนำเงินแต๊ะเอียของลูกไปซื้อทองรูปพรรณเก็บไว้ แม้จนจบการศึกษาจากเมืองเทศและเริ่มทำงาน ราคาทองคำยังไม่เปลี่ยนแปลง จำไม่ได้ว่าเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไร น่าจะเป็นต้นทศวรรษ 1970 รู้แต่ว่าราคาทองคำขึ้นพรวด พราด จากไม่กี่ร้อยบาทค่อยๆ ไต่ไปจนถึงหลักพัน และกลายเป็นหลายๆ พัน ช่วงราคาทองคำกำลังขึ้นนั้น หลายคนรีบซื้อทองเก็บตุนไว้เผื่อกำไร หากถึงคราวจำเป็นต้องใช้เงิน และต้องนำทองคำที่สะสมไว้ออกขาย มักเป็นช่วงที่ราคาทองเริ่มตก ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เหลือเดา สังเกตว่าไม่ว่าราคาทองคำจะสูงขนาดไหน ร้านขายทองไม่เคยวายลูกค้า
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย เรื่องเศรษฐกิจที่สนใจมีเพียงประการเดียวคือค่าครองชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาสินค้า ดูเหมือนว่าน้ำมันจะเป็นตัวกำหนดราคาสินค้าทั่วไป ก็กิจกรรมทั้งมวลที่เป็นจักรกลทางเศรษฐกิจล้วนต้องใช้น้ำมันทั้งสิ้นนี่นะ
ประเทศเจ้าของบ่อน้ำมันหลับมานาน เพิ่งมาตื่นไม่กี่ทศวรรษมานี้เอง เมื่อตระหนักว่าตนมีอาวุธสำคัญอยู่ในมือ จะบีบโลกให้ตายเมื่อไรก็ได้ ด้วยว่าประเทศทั่วโลกต้องใช้น้ำมัน ก็คุณชีคยามานีนี่แหละที่ทำให้น้ำมันเป็นเรื่องการเมือง เมื่อไรที่โลกอาหรับหมั่นไส้สหรัฐอเมริกาหรือโลกตะวันตก ก็ "ปั่น" ราคาเสียหน่อย ให้ได้สะดุดหยุดชะงักกันไปข้างหนึ่ง พากันเดือดร้อนไปทั่วโลก
การบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งเมื่อต่างไม่สนใจเศรษฐกิจพอเพียง เห็นว่าเป็นอะไรที่ "เชย" เกินกว่ายุคโลกาภิวัตน์ พยายามแปรประเทศเกษตรกรรมให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ ผลก็คือการบริโภคน้ำมันแบบไม่บันยะบันยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยักษ์ใหญ่อย่างจีนตื่นจากหลับ เปิดประตูกว้างสู่โลกภายนอก ละเลยเศรษฐกิจพอเพียง หันมาพัฒนาอุตสาหกรรม การบริโภคน้ำมันยิ่งมากขึ้น ยังผลให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไม่หยุด ประกอบกับมี "ผู้ประสงค์ดี" ช่วยปั่นราคาน้ำมัน น้ำมันจึงแพงขึ้นทุกวัน
แม้จะอยู่ไกลบ้าน หากติดตามอ่านข่าวทางอินเทอร์เน็ตอย่างสม่ำเสมอ เห็นข่าวรัฐบาลใช้เงินตรึงราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล เพื่อให้คนไทยได้ใช้น้ำมันราคาถูก หนังสือพิมพ์ทางอินเทอร์เน็ตทุกฉบับวิพากษ์ว่า รัฐหวังผลเลือกตั้ง พอหลังเลือกตั้ง ชาวไทยได้ใช้น้ำมันราคาแพงกันทั่วหน้า ปรับราคากันอยู่นั่นแล้ว ไม่เสร็จสิ้นเสียที ก็น้ำมันในตลาดโลกยัง "พยศ" อยู่ ไม่มีใคร "ปราบ" ได้
เมื่อย่างเข้าปีที่สองที่มาอยู่กรุงปารีส รู้สึกว่าค่ากับข้าวที่จ่ายแต่ละครั้งราคาสูงขึ้นเกือบเท่าตัว เฝ้าแต่บ่น แต่ไม่มีใครสนใจฟัง จึงหันมาวิเคราะห์ว่า ฤาเราจะซื้อสินค้าหลากหลายขึ้น ฤามี "รสนิยม" ดีเกินไป เลือกซื้อแต่สินค้าราคาสูง ฤาเริ่มคุ้นกับเงินยูโร ไม่ยอมเสียเวลาคูณด้วย 50 บาทอย่างเคย ใช่แต่สาวไทยเท่านั้นที่บ่น ด้วยว่าชาวฝรั่งเศสเองก็บ่นเรื่องสินค้าแพงผิดปกติ ก็จะไม่แพงได้อย่างไร "พ่อค้า" พลิกแพลงส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อยู่เสมอเพื่อขยับราคาสูงขึ้น อาทิ นมสด ก็ต้องผสมวิตามินนั่นนี่เพื่อให้ดูขลัง ผู้บริโภคที่หลงคำโฆษณาง่ายจำต้องจ่ายราคาแพงกว่านมสดธรรมดา ผลิตภัณฑ์ใดที่พะยี่ห้อ Bio หรืออีกนัยหนึ่ง ปลอดสารเคมีประการหนึ่ง ปลอดไขมันอีกประการหนึ่ง ย่อมเป็นที่มาของราคาแพง พฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นตัวกำหนดค่าใช้จ่าย
ซูเปอร์มาร์เก็ตแต่ละแห่งจะพิมพ์แผ่นพับหรือเป็นเล่มหนาก็มี เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีขายพร้อมราคา ในแต่ละเดือนแต่ละสัปดาห์ จะมีสินค้าราคาพิเศษ ผู้บริโภคจึงสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ลดราคาประจำเดือนหรือประจำสัปดาห์ได้แม้จะมิใช่ยี่ห้อที่ตนเคยซื้อก็ตาม นอกจากนั้นยังสังเกตว่าชาวฝรั่งเศสจะเทียบราคาสินค้าประเภทเดียวกันและเลือกซื้อสินค้าที่ราคาถูกกว่า เห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ เพราะไม่เคยประพฤติเช่นนั้น
ที่แปลกคือราคาสินค้ามิได้ "เต้น" ตามราคาน้ำมันเหมือนปัญหาที่ชาวไทยกำลังเผชิญอยู่
แปลกใจที่ชาวฝรั่งเศสดูไม่เดือดร้อนกับราคาน้ำมัน จนต้องเปรยกับคนรอบข้าง เขาไม่เดือดร้อนกันจริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
จะไปเดือดร้อนอะไรกับราคาเบนซินหรือดีเซล ก็ชาวฝรั่งเศสไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว ชนส่วนใหญ่ใช้บริการขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็นรถประจำทาง รถใต้ดิน รถไฟที่วิ่งระหว่างกรุงปารีสกับชานเมืองหรือรถไฟที่วิ่งระยะไกล มีให้เลือกใช้อย่างพร้อมพรัก จะใช้รถยนต์เมื่อจำเป็นเท่านั้น ราคาค่าโดยสารก็ไม่ได้วิ่งขึ้นตามราคาน้ำมันด้วย แต่เป็นราคาที่กำหนดตายตัว
จับความจากการสนทนาได้ว่าราคาน้ำมันซื้อขายกันด้วยดอลลาร์ เงินยูโรมีค่าสูงกว่าดอลลาร์ ฝรั่งเศสจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนนักกับราคาน้ำมันที่ผันผวน ประเทศใดที่อิงดอลลาร์จะได้รับผลกระทบมากกว่า อีกประการหนึ่ง ร้อยละ 80 ของราคาน้ำมันเป็นภาษีที่เข้ารัฐ ผู้บริโภคจึงได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประเทศใดที่กำหนดภาษีน้ำมันไว้ต่ำ ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบมากกว่า
อันที่จริง เศรษฐกิจฝรั่งเศสไม่ได้ "แข็งแรง" อย่างที่ควร การว่างงานเป็นปัญหาใหญ่ให้รัฐบาลต้องขบคิดหาทางแก้ไข อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ เธียรี เบรอะตง (Thierry Breton) รัฐมนตรีการคลังและงบประมาณได้ออกมาเตือนว่าชาวฝรั่งเศสใช้จ่ายเกินตัว เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยครั้งแรกในรอบหลายปีนี้
สื่อฝรั่งเศสรายงานความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในโลกอย่างสม่ำเสมอ หากแปลกใจไม่วายว่าทำไมไม่มีการยกประเด็นนี้ขึ้นมาถก ก็นักการเมืองมัวแต่ถกเถียงปัญหาของสหภาพยุโรปมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นธรรมนูญ งบประมาณการขยายตัวรับสมาชิกใหม่ เป็นต้น ต่อเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา หนังสือพิมพ์จึงพิมพ์บทวิเคราะห์บ้าง สะท้อนความวิตกของนักธุรกิจต่อความเสียเปรียบของอุตสาหกรรมยุโรปในการแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆ หากต้องซื้อน้ำมันแพงและมีแรงงานแพง มีการพูดถึงพลังงานทดแทน
ในปัจจุบัน รถประจำทางที่วิ่งในเมืองใหญ่และขนาดกลางจำนวน 1,800 คัน ใช้ก๊าซธรรมชาติ และมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น ด้วยว่ารถใหม่ที่เข้ามาทดแทนรถที่หมดอายุการใช้งานจะใช้ก๊าซ รถเก็บขยะและรถที่ใช้ในบริษัทจำนวนไม่น้อยต่างหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติด้วย
เมื่อย่างเข้าเดือนกรกฎาคม ชาวฝรั่งเศสเริ่มเดือดร้อนเพราะต้องเอารถยนต์ส่วนตัวออกขับเพื่อไปพักร้อนประจำปี อันเป็นวัตรปฏิบัติที่ขาดไม่ได้ แว่วเสียงโอดโอยเกี่ยวกับราคาน้ำมัน น้ำมันเบนซินซูเปอร์ไร้สาร 98 ราคาลิตรละ 1.18 ยูโร ไร้สาร 95 ลิตรละ 1.15 ยูโร ดีเซลลิตรละ 1.02 ยูโร ในขณะที่ระยะเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ราคา 1.07 ยูโร 1.05 ยูโร และ 0.85 ยูโร ตามลำดับ
|
|
|
|
|