หลายปีก่อนไทยออยล์เคยได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีเครดิตดีที่สุดในประเทศไทย แต่หลังวิกฤติปี 2540 สถานะดังกล่าวได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ การได้กลับมาออกหุ้นกู้ขายในต่างประเทศอีกครั้งเมื่อปลายเดือนก่อน จึงมีความหมายกับไทยออยล์อย่างยิ่ง
เมื่อ 8 ปีก่อน ไทยออยล์ (TOP) เป็นกิจการโรงกลั่นน้ำมันของรัฐ ที่มีอันต้องระส่ำระสายอย่างหนักจากการอ่อนตัวลงของค่าเงิน หลังคำประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จนต้องประกาศพักชำระหนี้ เข้าสู่กระบวนการล้มละลายเพื่อขอ hair cut และปรับโครงสร้างหนี้กันใหม่
ในเวลานั้นไทยออยล์มีทุนจดทะเบียนเพียง 20 ล้านบาท แต่มีภาระหนี้อยู่ในสถาบันการเงินไทยและเทศ 124 ราย สูงถึง 2,170 ล้านดอลลาร์ โดยสถาบันการเงินของญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ในสัดส่วน 41% สถาบันการเงินไทยและยุโรป 19% และ 11% ตามลำดับ
ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2542 คณะรัฐมนตรีลงมติอนุมัติแผนปรับโครงสร้างหนี้ไทยออยล์และบริษัทลูก รวมถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้น เพื่อสนับสนุนให้ไทยออยล์มีเงินทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 700 ล้านดอลลาร์ ช่วยลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน ก่อนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงปลายปี 2547
นับแต่กระจายหุ้นในตลาดฯ เครดิตทางการเงินของบริษัทเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา ไทยออยล์ได้จัดแถลงข่าวความสำเร็จในการขายหุ้นกู้ในตลาดต่างประเทศจำนวน 350 ล้านดอลลาร์หรือราว 14,000 บาท
แม้ราคาหุ้นที่ซื้อขายในประเทศในวันเดียวกันนี้จะปรับตัวลดลง 1 บาทที่ 63.50 บาท ตามสภาพการซื้อขายของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ตาม แต่ความสำเร็จในการระดมทุนในต่างประเทศนั้น อาจถือเป็นภาพสะท้อนที่บอกได้ถึงความรู้สึกของนักลงทุน ที่มีต่อความเชื่อถือในความมั่นคงด้านการเงินของไทยออยล์ว่าเริ่มดีขึ้นมากแล้ว
"การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ นับเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งแรกของไทยออยล์ และเป็นบริษัทเอกชนรายแรกของปี 2548 ที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยนักลงทุนสถาบันจากเอเชียและยุโรปให้การตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยยอดจองที่เกินกว่า 6 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่ไทยออยล์เสนอขาย" ปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้อำนวยการ ไทยออยล์ กล่าวในระหว่างการแถลงข่าว
หุ้นกู้ต่างประเทศ 350 ล้านดอลลาร์นี้ ไทยออยล์ได้ไปโรดโชว์เพื่อเสนอขายที่ประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และกรุงลอนดอน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยหุ้นกู้นี้มีอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.115% และชำระทุก 6 เดือน เงินที่ได้จากการขายหุ้นกู้ดังกล่าว ไทยออยล์จะนำมาชำระหนี้เงินกู้เดิมก่อนกำหนดทั้งจำนวนคือ 25,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนจัดหาเงินทุนใหม่ เพื่อลดต้นทุนและดอกเบี้ย ได้ราวปีละ 7 ล้านดอลลาร์
สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ไทยออยล์นั้น สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ จัดอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับ BBB ขณะที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ให้ที่ Baa1 หรือเทียบเท่าระดับความน่าเชื่อถือที่จัดให้แก่ประเทศไทยที่ระดับ BBB+ และเป็นอันดับที่ดีกว่าโรงกลั่นชั้นนำในภูมิภาค
ในงานเดียวกันนี้ ไทยออยล์ยังได้ลงนามรับมอบสัญญาจัดหาเงินกู้ 2 ฉบับ ร่วมกับ 5 สถาบันการเงินไทยและ 2 สถาบันการเงินต่างชาติ วงเงินรวม 680 ล้านเหรียญดอลลาร์ด้วย
ฉบับแรกเป็นการลงนามกับธนาคารเอบีเอ็นแอมโร ในฐานะผู้จัดหาเงินกู้ 200 ล้านดอลลาร์ รวมถึงหุ้นกู้ 350 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ที่ไทยออยล์ได้ออกขายแล้วในต่างประเทศ โดยมีเอบีเอ็น แอมโร และยูบีเอส อินเวสเมนต์แบงก์ เป็นผู้จัดจำหน่าย
ส่วนสัญญาอีกฉบับ เป็นการลงนามกับธนาคารกรุงเทพในฐานะตัวแทนผู้ให้กู้ และกลุ่มสถาบันการเงินในประเทศ 5 รายซึ่งมีฐานะเป็นผู้ให้กู้ ได้แก่ ธนาคารทหารไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นเงินกู้ 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่ 2 เป็นเงินกู้ 2,600 ล้านบาท
โดยเงินที่ได้รับจากการเบิกจ่ายนั้น ไทยออยล์จะนำมาชำระหนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่กับสถาบันการเงินทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงใช้ในกิจการของบริษัท
"ไม่ใช่ว่าตอนวิกฤติ เราจะไม่ให้เขากู้ เพียงแต่ว่าพวกเจ้าหนี้ไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เพราะโรงกลั่นน้ำมันก็มีอยู่มาก พอมาตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป ราคาน้ำมันก็เพิ่มขึ้น ก็น่าจะเป็นผลดีกับไทยออยล์" คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ร่วมเซ็นสัญญาจัดหาเงินทุนครั้งนี้ วงเงิน 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และอีก 403 ล้านบาท กล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือนมีนาคม ไทยออยล์ได้ชำระหนี้ทั้งในและนอกประเทศก่อนกำหนดแล้ว 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,900 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะทำให้ทั้งภาระเงินกู้ของไทยออยล์ลดลง 630 ล้านบาทแล้ว ยังทำให้ภาระดอกเบี้ยลดลง 150-200 ล้านบาทต่อปี (จากสมมติฐานดอกเบี้ย 5%)
ปิติยืนยันว่าไม่กระทบต่อสภาพคล่องเนื่องจากบริษัทไม่ต้องชำระคืนเงินต้นอีกจนกว่าจะถึงเดือนกันยายน 2550
สถานะการเงินที่ดีวันดีคืนของไทยออยล์นั้น ส่วนหนึ่งมาจากได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันเมื่อปลายปี 2547 (ดูการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน) โดยในปี 2547 ไทยออยล์มีกำไรจากการกลั่นน้ำมันขั้นต้น 7.49 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มจาก 3.38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายของไทยออยล์และบริษัทในเครือที่มีรวมกัน 184,801 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123%
|