|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ สิงหาคม 2548
|
|
ความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเยือนนครปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีนก็คือ เมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วเห็นทีจะต้องหาโอกาสไปเรียนภาษาจีนกันจริงๆ จังๆ เสียที ที่ต้องสัญญากับตัวเองเอาไว้เช่นนี้เพราะความสำคัญของจีนต่อระบบเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้นจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะเดียวกันภาพของประเทศจีน (ปักกิ่ง) ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้านั้นต่างกันลิบลับกับประเทศจีนในความเข้าใจแต่ดั้งเดิม
เอาง่ายๆ แค่ว่า นับตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากสนามบิน เราได้พบเห็นการก่อสร้างอาคารและสาธารณูปโภคมากมาย ตั้งแต่ถนน ทางด่วน โรงแรม อาคารสำนักงานไปจนถึงอาคารที่พักอาศัย จริงอยู่ว่าแรงกระตุ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 (มีป้ายโฆษณาสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับ Beijing 2008 ติดให้พบเห็นเป็นเครื่องเตือนใจ จำนวนมาก) แต่สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งน่าจะมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงเกิน 7% มาตั้งแต่ปี 1999 ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีภาวะเศรษฐกิจร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เช่นนี้ ทำให้เกิดชนชั้นกลางขึ้นในสังคมจีนเป็นจำนวนไม่น้อย ไม่ต่างอะไรจากประเทศไทยในยุคโชติช่วงชัชวาลที่เศรษฐกิจช่วงนั้นได้ก่อกำเนิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ในสังคมไทยที่เรียกกันว่า "ยัปปี้" แต่ที่ต่างจาก ไทยก็คือ ด้วยจำนวนประชากรมหาศาลถึง 1.3 พันล้านคน ถ้าใน จำนวนนี้มีอยู่ 10% ที่ก้าวขึ้นเป็นชนชั้นกลางได้ ก็คิดเป็นจำนวนถึง 130 ล้านคนแล้ว เท่ากับว่าประเทศ นี้มีชนชั้นกลางที่มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจ กล้าที่จะใช้จ่ายในจำนวนมากที่สุดในโลก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะได้พบเห็น คอนโดมิเนียมหรูกลางกรุงปักกิ่ง ที่สนนราคา ตารางเมตรละ 8,000 หยวน* และราคาขายตั้งแต่ 1 ล้านหยวนขึ้นไป ในขณะที่บนท้องถนนก็มีรถยนต์หรูวิ่งกันจนแทบลืมไปว่านี่กำลังยืนอยู่ในประเทศคอมมิวนิสต์ เพราะมีให้เห็นทั้ง BMW Audi Jeep หรือแม้กระทั่งรถซดน้ำมันอย่าง Hummer รวมไปถึงผลพวงที่เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญอย่างรถติดก็เกิดขึ้นแล้ว ทั้งๆ ที่ปักกิ่งมีระบบขนส่งมวลชนพร้อม มีทั้งรถเมล์ไฟฟ้าราว 500 คันและรถไฟใต้ดินที่มีใช้มาแล้วถึง 40 ปี (นึกแล้วก็ให้เจ็บใจที่ลืมเกทับไกด์ไปว่า ถึงกรุงเทพฯ จะมีรถไฟฟ้าใช้ทีหลัง แต่รถไฟใต้ดินชนกันของเรามีก่อน) และประชากรจำนวนมากก็ยังนิยมใช้จักรยานตามความคุ้นเคย ซึ่งที่นี่มี bike lane สำหรับจักรยานที่ผู้นิยมจักรยานในกรุงเทพฯ พยายามเรียกร้องกันมานานแล้วด้วย
พูดถึงโอลิมปิกและรถติด รัฐบาลจีนให้คำมั่นสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าการเดินทางของนักกีฬาจากที่พักไปยังสนามกีฬาแต่ละแห่งจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแน่นอน พี่พรชัย (ไกด์ชาวจีนที่พูดและเข้าใจภาษาไทย ชนิดเล่นสำบัดสำนวนได้คล่อง) เล่าให้ฟังว่า ถ้าเป็นที่อื่นไม่แน่ใจ แต่ถ้าที่ปักกิ่งรับรองทำได้ไม่มีปัญหา เพราะมีคำสั่งห้ามไม่ให้รถของเอกชนและราชการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาออกมาวิ่งเพ่นพ่านในช่วงนั้น ดีไม่ดีทางรัฐบาลจีนอาจจะใช้มาตรการกระตุ้น และส่งเสริมให้คนปักกิ่งออกไปเที่ยวนอกเมือง กันเสียด้วยซ้ำ เหมือนเมื่อครั้งที่จัดประชุมซัมมิตที่นครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งครั้งนั้นรัฐบาลจัดงบพิเศษให้หน่วยราชการจัดทัวร์ไปเที่ยวภายในประเทศกันได้ ทำเอาเซี่ยงไฮ้โล่งไปถนัดตา
การท่องเที่ยวของจีนก็ถือเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญกลุ่มหนึ่ง เพราะไม่เพียงแค่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไปในจีนเท่านั้น ชาวจีนเองก็ยังนิยมท่องเที่ยวในประเทศกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะประวัตินับพันปีของจีนที่มีเรื่องราวให้หยิบมาขายได้แทบ ทุกช่วง จึงไม่แปลกใจเลยที่สถานท่องเที่ยว สำคัญของกรุงปักกิ่งจะเต็มไปด้วยผู้คน ไม่ว่า จะเป็นจัตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังโบราณ หอฟ้าเทียนถาน พระราชวังฤดูร้อน และที่ขาดเสียไม่ได้คือ กำแพงเมืองจีน
เฉพาะที่พระราชวังโบราณแห่งเดียวก็มีนักท่องเที่ยวมาเข้าชมวันละร่วมๆ 50,000 คน แต่ถ้าเป็นวันหยุดสำคัญอย่างเช่น วันชาติ หรือวันแรงงานด้วยแล้ว ยอดนักท่องเที่ยวพุ่งขึ้นไปถึงวันละ 200,000 คนเลยทีเดียว จำนวน คนขนาดนี้กว่าจะเบียดเข้าไปดูที่ประทับว่าราชการของจักรพรรดิจีนได้ก็ต้องทั้งเบียดทั้งถองกันจนเหนื่อยพอตัว ขณะที่บางคนก็ยอมถอดใจขอดูจากภาพในกล้องถ่ายรูปของคนอื่นแทน
เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วประกอบกับการค่อยๆ เปิด ประเทศรับวัฒนธรรมตะวันตกของจีน ทำให้ร้านค้าและสินค้าตะวันตกเริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่ในใจคนรุ่นใหม่ของจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ร้านฟาสต์ฟู้ดทั้ง McDonald และ KFC มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เช่นเดียวกับร้านกาแฟ Starbucks ที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นชาวจีนแทนการดื่มชาเฉกเช่นวัตรปฏิบัติของบุพการี และเป็น Starbucks นี่เองที่หักหาญบุกเข้าไปเปิดร้านอยู่ในบริเวณพระราชวังโบราณ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับไกด์ของเราจนไม่ยอม ชี้ให้ดูตำแหน่งที่ตั้ง ต้องอ้อนวอนกันอยู่นานกว่าจะยอมบอกว่าอยู่ตรงไหน
ด้วยความที่ประชากรจีนในปัจจุบันมีอยู่กว่า 1.3 พันล้านคน แต่ละครอบครัวจึงได้รับอนุญาตให้มีทายาทได้เพียงคนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ คู่สมรสที่อายุรวมกันแล้วยังไม่ถึง 50 ปียังห้ามมีลูกอีกด้วย โดยรัฐบาล จะให้การสนับสนุนในการคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นถุงยางอนามัยหรือยาคุมกำเนิดที่มีให้ใช้ได้ฟรี หรือหากฝ่ายหญิงสมัครใจจะใส่ห่วงคุมกำเนิดก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่นกัน รัฐบาลดูแลกันถึงขนาดนี้ แต่หากพลาดพลั้งตั้งท้องขึ้นก่อนถึงวัยที่ได้รับอนุญาต รัฐบาลก็จะสั่งให้ทำแท้งทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง เด็กชาวจีนรุ่นใหม่จึงถูก ฟูมฟักเอาใจตั้งแต่เด็ก ประหนึ่งมังกรหรือหงส์ตัวน้อยก็ไม่ปาน ไกด์เล่าว่าเด็กบางคนแทบจะไม่รู้จักคำว่า "ให้" เลยด้วยซ้ำ เพราะ ชีวิตนี้เป็นฝ่ายรับมาตลอด ทั้งจากพ่อแม่และญาติๆ ทั้งหลาย ฟังอย่างนี้แล้วเด็กไทยอย่าเพิ่งนึก อิจฉา เพราะเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาภายใต้แรงกดดันไม่น้อย ด้วยความที่ประชากรมีมาก การแข่งขันกันเอง เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นที่สุดจึงมีมากตามไปด้วย เด็กจีนบางคนอายุครบ 3 ขวบก็ถูกพ่อแม่จับส่งเรียนพิเศษกันแล้ว บางคนเพิ่งจะครบ 8 ขวบก็พูดได้แล้ว 3 ภาษา ยังไม่รวมถึงความสามารถพิเศษอื่นๆ จำพวกดนตรีหรือกีฬาที่ต้องมีแถมพ่วงไปด้วย
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ใจกลับนึกไปถึงเด็กตัวน้อยที่กรุงเทพฯ ที่วันๆ ต้องวิ่งรอกเรียนพิเศษตามความหวังดี ของพ่อและแม่ที่อยากเห็นลูกมีอนาคตที่ดี จนวันนี้แทบไม่รู้เลยว่าชีวิตสดใสในวัยเด็กตามแบบอย่างของคนรุ่นพ่อแม่นั้นเป็นอย่างไร
หมายเหตุ : * อัตราแลกเปลี่ยน 1 หยวนต่อ 5.34 บาท
|
|
|
|
|