|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ธปท. ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยอาร์/พี ขยับไปอยู่ที่ระดับ 2.75% เหตุราคาน้ำมันพุ่งและค่าจ้างแรงงานที่จะปรับเพิ่มขึ้นจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่ง ระบุเป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่เดือนส.ค.ปี 2547 ด้านนักเศรษฐศาสตร์ชี้เหมาะสม แนะจับตาธปท.เตรียมออกบอนด์ดูดซับสภาพคล่องอีกรอบ
นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า ที่ประชุมมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรซื้อคืนระยะ 14 วัน (อาร์/พี) อีก 0.25% เป็น 2.75% ต่อปี จากเดิมที่อยู่ในระดับ 2.50% ต่อปี เนื่องจากพิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไปแล้วเห็นว่า โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวสูงกว่าเป้าหมายที่ธปท. ตั้งไว้ 0-3.5% มีมากขึ้น รวมทั้งเป็นการส่งสัญญาณการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคภาคประชาชน
ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน 6 เดือนแรกของปี 2548 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.2% และอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานอยู่ที่ 0.9% ซึ่งการที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่าเป้าหมาย มีสาเหตุสำคัญมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น การที่ภาครัฐลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ราคาสินค้าควบคุมที่แพงขึ้น รวมทั้งการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ "
น้ำมันที่สูงขึ้นมีผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวขึ้น กนง.จึงเห็นว่าดอกเบี้ยนโยบายควรจะอยู่ในทิศทางขาขึ้น เพื่อเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจระยะยาว" นางอัจนากล่าว
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท.จะเน้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก แต่ต้องอยู่ในอัตราที่พอเหมาะพอควร เพื่อให้ได้ดุลยภาพระหว่างการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่า 0.25% เป็นระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน และจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ เพราะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป "
กนง.ได้นำตัวเลข 0.50% มาพิจารณาเช่นกัน แต่เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วนัก ส่วนในระยะต่อไปหากมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ก็สามารถทำได้ เพราะส่งสัญญาณมาตลอด นอกจากนี้ กนง.ยังได้พิจารณาถึงเสถียรภาพภาย นอกมาประกอบด้วย เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ" นางอัจนากล่าว
นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินยังพิจารณาว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยใน 5 เดือนแรกของปี 2548 ชะลอตัวลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น รวมทั้งการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐ ซึ่ง ธปท.จะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กรกฎาคมที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้จะไม่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทหรือการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนจากต่างประเทศ มากนัก เนื่องจากการที่นักลงทุนจะนำเงินมาลงทุนหรือนำออกนอกประเทศจะพิจารณาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งในปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน
สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการลงทุน คือ อัตราดอกเบี้ยในตลาดมากกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่ง ธปท.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 5 ครั้ง แต่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นเพียงครั้งเดียว คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะมีผลต่อการลงทุนในระยะยาว และการที่ธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของแต่ละแห่งด้วย
ด้านนายเกริกไกร จีระแพทย์ กรรมการ กนง. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งในช่วงปลายปี 2549 เงินเฟ้ออาจเร่งตัวเกินเป้าหมายที่ ธปท. ตั้งไว้ที่ระดับ 3.5% โดยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในระดับที่เหมาะสมด้วย
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับดอกเบี้ยอาร์/พีของ ธปท. เป็นการทำเพื่อดูแลเสถียรภาพ แต่ขณะเดียวกันยังห่วงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย ซึ่งการประกาศปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าธปท.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 1.50% ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2547
"แม้ว่าธปท.ทยอยขึ้นดอกเบี้ยมาหลายครั้งแล้ว แต่ธนาคารยังขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25-0.50% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำ ดังนั้นหากธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% วานนี้ก็ไม่น่าจะมีผลทำให้ธนาคารต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม และเชื่อว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันที่ 7 ก.ย.นี้ ธปท.น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เพื่อลดแรงกดดันส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยต่างประเทศ"
นางสาวอุสรา กล่าวว่า ขณะนี้ธปท.มีเครื่องมือในการดูดซับสภาพคล่องมากขึ้น ด้วยการออกพันธบัตรซึ่งคาดว่าในไตรมาส 3 นี้ธปท.จะมีการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องได้ ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการส่งผ่านนโยบายการเงินของธปท.เพื่อดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจทำได้ดีขึ้น
|
|
 |
|
|