ศูนย์วิจัยเอเจนซี่ฯ ชี้เศรษฐกิจขยายตัวส่งตลาดอสังหาฯ โตต่อเนื่อง คาดตลาดขยายตัวถึงขีดสุด 2 ปี หลังจากนี้ก่อนเข้าสู่วงจรตลาดยุคหดตัว ระบุผู้ประกอบการเริ่มผลิตซัปพลายราคาถูกป้อนตลาดมากขึ้นคือสัญญาณเตือน เชื่อแนวโน้มครึ่งหลังปี 48 ผู้ประกอบการผลิตสินค้าเจาะตลาดล่างเพิ่มส่งผลมูลค่าตลาดลดต่ำกว่าทุกๆ ปี ขณะที่จำนวนการผลิตที่อยู่อาศัยยังเท่าเดิม
นายโสภณ พรโชคชัย กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ปัจจุบันตลาดเริ่มขยายตัวเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว สังเกตได้จากการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการในตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดคอนโดมิเนียม หรือตลาดทาวน์เฮาส์ที่มีการผลิตสินค้าราคาถูกเพิ่มขึ้นระดับต่ำกว่า 1 ล้านบาท ออกมารองรับความต้องการของลูกค้าระดับล่างเพิ่มขึ้น ซึ่งภาวะการผลิตสินค้าราคาถูกออกสู่ตลาดนี้เป็นเหมือนสัญญาณบอกได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจของประเทศยังมีอัตราการขยายตัวในระดับนี้ต่อไป อัตราการขยายตัวของตลาดจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในระยะ 2 ปีนับจากนี้ไป ตลาดอาจจะกลับเข้าสู่วงจรตลาดแบบเดิมๆ อย่างที่เป็นผ่านๆมา แต่การหมุนของวงจรตลาดในครั้งนี้จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะไม่เหมือนกับปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการปรับตัวอย่างรวดเร็วของตลาด จนทำให้เกิดการหยุดชะงักของการลงทุนในตลาด
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังจากนี้ ราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวในการผลิตที่อยู่อาศัยเข้าสู่ตลาดในอัตราคงที่ โดยจะเน้นพัฒนาสินค้าเข้ามารองรับความต้องการของผู้บริโภคในระดับล่างมากขึ้น ทำให้มูลค่าตลาดลดลงจากปีที่ผ่านๆ มา ในขณะที่จำนวนการผลิตที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่เท่าเดิม
"ในครึ่งปีหลังนี้ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์ระดับราคา 0.7-1 ล้านบาทย่านชานเมือง คอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท และราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จะได้รับความสนใจและเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนดีมานด์มากที่สุด" นายโสภณกล่าว
จากการสำรวจตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปี (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่าอัตราการขยายตัวของมูลค่าที่อยู่อาศัยในปี 48 เปรียบเทียบกับปี 47 ลดลงกว่า 30% โดยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547 มูลค่าตลาดอสังหาฯ มีอยู่ประมาณ 100,000 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าของตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีแรกของปีนี้มีอยู่ประมาณ 89,974 ล้านบาท ซึ่งการลดลงของมูลค่าตลาดเกิดจากการที่ผู้ประกอบการหันมาผลิตสินค้าที่มีขนาดและราคาขายลดลงเพื่อจับกลุ่มลูกค้าในตลาดใหญ่ คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอสังหาฯ ทั้งปีจะมีอยู่ประมาณ 160,000-180,000 ล้านบาท
นายโสภณกล่าวว่า จากผลการสำรวจพบว่า โครงการที่อยู่อาศัยที่มีการพัฒนาออกสู่ตลาดมากที่สุดคือ ทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 0.5-1 ล้านบาท มีจำนวน 3,632 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,808 ล้านบาท รองลงมาคือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 3,220 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าขาย 12,430 ล้านบาท รองลงมาเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมระดับราคา 0.5-1 ล้านบาท มีจำนวน 3,000 ยูนิต มูลค่า 2,579 ล้านบาท ถัดมาเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแฝดราคา 0.5-1 ล้านบาท มีจำนวน 149 ยูนิต มูลค่า 135 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า ผู้ประกอบการ 5 อันดับแรก ที่มีจำนวนยอดขายมากที่สุด ประกอบด้วย 1. บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มียอดขาย 2,390 ยูนิต มูลค่า 4,807 ล้านบาท 2.บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) มียอดขาย 1,809 ยูนิต มูลค่า 2,616 ล้านบาท 3.บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มียอดขาย 1,429 ยูนิต มูลค่า 1,597 ล้านบาท 4.บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มียอดขาย 1,277 ยูนิต มูลค่า 6,254 ล้านบาท และ 5.บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน) มียอดขาย 572 ยูนิต มูลค่า 2,504 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจและวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมาพบว่า มีโครงการที่รอเปิดตัวใหม่อยู่อีก 90 โครงการ และมีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 43 โครงการ ทำให้ขณะนี้ในตลาดรวมทั้งหมดมีโครงการที่เปิดขายอยู่ทั้งสิ้น 1,125 โครงการ โดยในจำนวนนี้มีโครงการที่มีสต๊อกบ้านในมือ 20 ยูนิต 562 โครงการ ซึ่งในจำนวนโครงการที่เปิดขายทั้งหมดนี้มีการปรับขึ้นราคาขายโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2-3%
|