ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY) วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจประกันภัย
ว่าช่วงวิกฤต เศรษฐกิจเมื่อปี 40 ถึงแม้ธุรกิจประกันภัยจะประสบปัญหาการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
แต่โดยภาพรวมแล้วยังมีอัตราขยายตัวโดยเฉลี่ยสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ของประเทศ พิจารณาจากจำนวนเบี้ย ประกันรวมของธุรกิจประกันภัยปี 44 ที่ขยายตัวสูงเกือบ
150,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการขยายตัวประมาณ 28.62% เมื่อเทียบกับปี 40
โดยเฉพาะด้านประกันชีวิตที่ขยายตัวสูง
ประมาณ 61% สำหรับปี 45 กระทรวง พาณิชย์ ได้คาดการณ์อัตราการขยาย ตัวของธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้นประมาณ
13.7% เมื่อเทียบกับปี 44 โดยมีเบี้ยประกันภัยรวมประมาณ 161,456 ล้านบาท
แยกเป็นเบี้ยประกันชีวิต 105,220 ล้านบาท อัตราการขยายตัว 17% และเป็นเบี้ยประกันวินาศภัย
56,236 ล้านบาท อัตราการขยายตัว 8% นอกเหนือจาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าจะมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ยังมีปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการขยายตัวของ ธุรกิจประกันภัยและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี
อาทิ
นโยบายและแผนการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำหน้าที่
ควบคุมดูแลธุรกิจประกันภัยโดยตรง ได้แก่ กรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์
จะติดตาม กำกับ ดูแล และตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัทประกันภัยอย่างใกล้ชิด
เพื่อเสริมสร้างฐานะความมั่นคงทางการเงิน และสภาพคล่องของบริษัทซึ่งสำคัญที่สุด
เนื่องจากความมั่นคงทางการเงิน นับเป็นหัวใจสำคัญของการประกอบธุรกิจทุกประเภทที่ประชาชนจะให้ความเชื่อมั่นและเชื่อถือ
รวมถึงการส่งเสริมให้มีช่องทาง การลงทุนใหม่ๆ การปรับปรุง แก้ไข กฎหมายและกฎระเบียบในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยเพื่อให้สอดคล้อง
กับสถานการณ์ปัจจุบัน เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเสรีในอนาคต เสริมสร้าง ความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยแก่
ประชาชน ตลอดจนการพัฒนาระบบข้อมูลและฐานข้อมูลสารสนเทศด้านการประกันภัย โดยมีเป้าหมายให้ธุรกิจ
ประกันภัยเติบโตอย่างมั่นคง เป็นที่เชื่อใจของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการประกันภัยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับนโยบาย แผนการดำเนินงาน กฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ ของภาครัฐที่คาดว่าจะมีผลต่อการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตอย่างเด่นชัด
ได้แก่
การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาสำหรับเบี้ยประกันชีวิต จากการที่สมาคมประกันชีวิตไทยได้เสนอต่อกรมการประกันภัย
กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 45 ให้เพิ่ม ค่าลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเบี้ยประกันชีวิตเพิ่มขึ้นจากเดิม
10,000 บาท ซึ่งใช้มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว เป็น 50,000 บาท ซึ่งยังคงต่ำกว่าเมื่อ
เทียบกับค่าลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเบี้ยประกันชีวิตของประเทศต่างๆ เช่น
เยอรมนี ประมาณ 4.6 แสน บาท สวิตเซอร์แลนด์ ประมาณ 6.9 หมื่นบาท หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์และมาเลเซียสามารถหักค่าลดหย่อนได้ถึง
1.2 แสนบาท และ 6 หมื่นบาท ตามลำดับ กอปรกับภาครัฐได้มีการปรับ เพิ่มลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ
เพื่อความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อเป็นการสนองนโยบายของ รัฐที่ต้องการส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิต
ให้เติบโตและให้ประชาชนหันมาทำประกันชีวิตมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีการทำประกันชีวิตเพียงร้อยละ
13 ของ ประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ที่อยู่ในระดับเกินกว่าร้อยละ 90 ภาค ธุรกิจ
ประกันชีวิตโดยสมาคมประกันชีวิตไทยได้เสนอว่าการปรับเพิ่มการหักค่าลดหย่อนแม้จะส่งผลให้ภาครัฐมีรายได้ลดลงประมาณ
1 พันกว่าล้านบาท
ในขณะที่กรมสรรพากรประเมิน ไว้ประมาณ 2 พันล้านบาท กรมการประกันภัยและกระทรวงพาณิชย์ประเมินไว้
1.5-1.6 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ระยะยาวที่ภาครัฐจะได้รับแล้วถือว่าเป็นจำนวนที่เล็กน้อย
เนื่องจากภาครัฐจะได้รับรายได้กลับคืนมาในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทประกันชีวิตจากผลกำไรของธุรกิจประกันชีวิต
และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากตัวแทน ประกันชีวิตที่คาดว่าจะขายประกันได้มากขึ้น
ทำให้ภาษีจากภาคธุรกิจประกันชีวิตนำส่งรัฐได้มากขึ้นและรัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ การปรับเพิ่มค่าลดหย่อนในครั้งนี้จะสามารถกระตุ้นให้ประชาชนหันมาทำประกันชีวิตมากขึ้น
คาดว่าจะทำให้ธุรกิจประกันชีวิตเติบโต ไม่น้อยกว่า 20% ต่อปี และจำนวนผู้ทำประกันชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ
15-16 ของจำนวนประชากรทั้งหมด รวมทั้งจำนวนเบี้ย ประกันชีวิตที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแนวทางการระดมเงินออมและเงิน
ทุนของประเทศทางหนึ่ง ดังนั้น ภาครัฐควรจะมีการสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิตโดยการปรับค่าลดหย่อนรายการนี้เพิ่มขึ้นอีก
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ กลั่นกรองเรื่องเสนอ ครม. คณะที่ 2 เมื่อวันที่
11 ก.ค. 45 ได้มีการอนุมัติกฎกระทรวงออกตามประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการปรับปรุงการหักค่าลดหย่อน
เบี้ยประกันชีวิต โดยผู้เอาประกันชีวิต สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับ กรมธรรม์ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป และกรม
ธรรม์ตลอดชีวิต โดยต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
และให้หักค่าลดหย่อนได้ปีต่อปีหรือเริ่มทำประกันปีใดก็หักได้ตั้งแต่ปีนั้น
ซึ่งคณะกรรมการฯ จะเสนอให้ ครม. พิจารณาต่อไปคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณปลายเดือน
ก.ค. นี้หรือต้นเดือน ส.ค. 45 และกำหนดให้มีผลตั้งแต่รอบปีภาษี 2545 หรือ
1 ม.ค. 45 เป็นต้นไป โดยกระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่า การลดหย่อนภาษีครั้งนี้จะทำธุรกิจประกันชีวิตขยายตัว
30% ต่อปี ยอด เบี้ยประกันเพิ่มขึ้นจาก 1 แสนล้านบาท เป็น 1.3 แสนล้านบาท
ตัวแทนประกันชีวิตจะมีรายได้เพิ่มขึ้นส่งผลต่อ บริษัทประกันชีวิตให้มีรายได้เพิ่มตาม
ไปด้วย นำไปสู่การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นประมาณ 37% ภาครัฐจะสามารถเก็บภาษีเงินได้ในปีต่อๆ
ไปได้มากขึ้นเมื่อพิจารณารวมกับผลการขยายตัวของธุรกิจ
การขายกรมธรรม์แบบยูนิตลิงค์ (Unit Link : กรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขายควบหน่วยลงทุน)
กรมการประกันภัยได้เสนอต่อ ก.ล.ต. เพื่อขอ อนุญาตประกอบธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม
(บลจ.) เพื่อ ที่จะสามารถขายกรมธรรม์ควบการลงทุนได้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการจัดสรรเบี้ยประกันให้แก่ผู้เอาประกันว่าจะนำไปประกันชีวิตเท่าไรและนำไป
ลงทุนเท่าไร เช่น หากผู้เอาประกันชำระเบี้ยประกันปีละ 500 บาท อาจจะนำไปทำประกันชีวิต
350 บาท อีก 150 บาท นำไปลงทุน เช่น ลงทุนใน หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน
แล้วแต่เงื่อนไขที่ผู้เอาประกันเลือก โดยผู้เอาประกันภัยต้องรับความเสี่ยง
ที่เกิดจากการลงทุนเอง เป็นการลดความเสี่ยงจากกรมธรรม์สะสมทรัพย์ที่ผู้รับประกันภัยรับประกันผลตอบ
แทนขั้นต่ำในอัตรา 4% นอกจากนี้ยังเป็นการขยายฐานนักลงทุนในระบบกองทุนรวมซึ่งมีอยู่ประมาณ
5.4 แสน รายให้เพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันมีผู้ถือกรมธรรม์แบบสะสมทรัพย์ 3.5
ล้านกรมธรรม์ ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดของการขายกรมธรรม์กรณีนี้กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการหารือร่วมกันระหว่าง
ก.ล.ต. และกรมการประกันภัย โดยมีแนวทางที่จะต้องพิจารณาร่วมกัน 3 แนวทาง
ได้แก่ แนวทางแรก การให้บริษัทประกันชีวิตใช้บริการผ่าน บลจ. (ปัจจุบันมีประมาณ
14 แห่ง) โดยจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ บลจ. แนวทางที่ 2 การแก้ไขกฎเกณฑ์
การถือหุ้นของบริษัทประกันซึ่งกำหนดห้ามบริษัทประกันถือหุ้นในบริษัทต่างๆ
เกิน 10% หากมีการตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อดำเนินการด้านนี้ แนวทางสุดท้าย
คือ การให้ใบรับอนุญาตในการบริหารกองทุนแก่บริษัท ประกัน เพราะปัจจุบันบริษัทประกันมีใบอนุญาตในการบริหารกองทุนส่วน
บุคคลอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากกรมธรรม์แบบยูนิตลิงค์ได้รับการผลักดันสำเร็จ จะสามารถขยายฐานของผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมได้อย่างมาก
ใน ระยะยาวจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เอาประกันด้วยเพราะมีโอกาสในการสร้าง ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น
สามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนก่อนครบอายุกรม ธรรม์ได้หากต้องการใช้เงินสด และเป็นการเพิ่มทางเลือกในการดำเนินธุรกิจของบริษัทประกันชีวิต
เป็นต้น ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย การขายประกันแบบยูนิต
ลิงค์เป็นที่นิยมมาก ในประเทศอังกฤษก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน แต่มี 2 ลักษณะ
คือ Unit Link และ Investment Link โดยแบบ Unit Link จะไม่ประกันความเสี่ยงด้านการ
ลงทุนให้แก่ลูกค้าหรือผู้ถือกรมธรรม์ แต่แบบ Investment Link จะประกันความเสี่ยงขั้นต่ำให้แก่ลูกค้า
การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ ประกอบธุรกิจนายหน้าของประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
(Ban-cassurance หรือ Bank Insurance) เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาด ใหม่เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย
และเป็นการเพิ่มช่อง ทางการหารายได้จากค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของธนาคารพาณิชย์อีกทางหนึ่ง
ธปท. จึงได้ออกประกาศอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิต
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 44 โดยธนาคารพาณิชย์ที่จะประกอบ ธุรกิจการเป็นนายหน้าประกันภัยได้ต้องยื่นขออนุญาตและปฏิบัติตามประกาศนายทะเบียน
(นายทะเบียนตาม พ.ร.บ. ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. ประกันชีวิต
พ.ศ. 2535) ธนาคารพาณิชย์ที่จะขอรับใบอนุญาตฯ ได้จะต้องมีพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิต/วินาศภัยเป็น
ผู้กระทำแทนประจำสำนักงานไม่น้อยกว่าสำนักงานละ 1 คน และรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า
3 คน เพื่อติดต่อกับประชาชนและชี้แจงต่อนายทะเบียน เมื่อธนาคารพาณิชย์ได้รับใบอนุญาตแล้วให้ถือว่าสาขาของธนาคารพาณิชย์
เป็นสาขาในการประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ประชาชน/ลูกค้าของธนาคารสามารถซื้อประกันผ่านธนาคารได้สะดวกและทั่วถึงกว่าเดิม
บริษัทประกันภัยมีโอกาสในการทำธุรกิจได้กว้างขึ้นและมีโอกาสในการสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้น
เพราะสามารถประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยอาศัยการดำเนินธุรกิจผ่านสาขาจำนวนมากของธนาคาร
Bancassurance หรือ การทำประกันภัยผ่านธนาคาร โดยธนาคาร ทำหน้าที่เป็นผู้ขาย/จำหน่าย
หรือชี้แนะช่องทางให้มีการขายสินค้าและบริการด้านประกันภัยให้แก่ลูกค้าของ
ธนาคารหรือบุคคลอื่นๆ ผ่านทางสาขา หรือสำนักงานใหญ่ของธนาคาร มีต้นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส
(จึงใช้คำว่า Banc แบบฝรั่งเศส) ประมาณปี 1970 และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในปี
1980 ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ โดยมีหลายรูปแบบ เช่น การทำสัญญาความร่วมมือ
(Co-operation Agreement) ระหว่างธนาคารและบริษัทประกันภัยหรือการร่วมเป็นพันธมิตรกันธนาคารสามารถจำหน่าย
กรมธรรม์แบบต่างๆ ของบริษัทประกันฯ ให้แก่ลูกค้าของธนาคารได้ โดยโครงสร้างการถือหุ้นและการบริหารยังคงแยกกันอยู่เหมือนเดิม
การเข้าถือหุ้นในบริษัทประกันภัยของธนาคาร (Equity Interest) ซึ่งมีหลายวิธี
เช่น การรวมกิจการ การซื้อกิจการ รวมถึงการที่ธนาคารเข้าถือ หุ้นส่วนใหญ่
(Majority Ownership) ซึ่งสินค้าและบริการของบริษัทประกันฯ ถือเป็นส่วนหนึ่งของธนาคาร
(Integrated Products) โดยบริษัทประกันฯ จะทำหน้าที่ในการผลิตสินค้า และบริการเพื่อจำหน่ายผ่านธนาคาร
การตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินกิจการ ด้านการตลาด(Joint Venture in Marketing
Company) โดยธนาคาร และบริษัทประกันร่วมกันจัดตั้งบริษัทเพื่อทำหน้าที่การตลาด
การออก แบบและจำหน่ายกรมธรรม์ให้แก่ลูกค้าของธนาคารหรือบริษัทประกันฯ การที่ธนาคารตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเอง
(Greenfields Start-up) เป็นต้น
การแข่งขันกันระหว่างบริษัท ประกันภัย จะช่วยให้เกิดการพัฒนารูปแบบการประกันภัยและผลิตภัณฑ์
ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่มีอยู่อย่างหลากหลาย อาทิ กรมธรรม์ ที่ผสมผสานระหว่างการออมทรัพย์
และการคุ้มครองชีวิตโดยได้รับผลตอบแทนเป็นช่วงระยะเวลาตามที่ตกลงกันไว้ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
นอกจากการพัฒนารูปแบบสินค้าแล้ว บริษัทประกันภัยยังได้แข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศให้มี
ความก้าวหน้าและบริการลูกค้าได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความประทับใจและดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการในหลายๆ
รูปแบบ เช่น การบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Commerce อาทิ การซื้อและการรับชำระเบี้ยประกันผ่านอินเทอร์เน็ต
การบริการข่าวสารข้อมูล การบริการลูกค้าผ่านระบบ Call Center เป็นต้น
ธุรกิจประกันภัยมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องไปอีกจากปัจจัยสำคัญต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในและต่างประเทศที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจการเงินของประเทศแล้ว
ยังมีอุปสรรคปัญหาบางประการที่อาจ ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจประกันภัยบ้างแต่คาดว่าไม่มากนัก
อาทิ การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ใช้ในการคำนวณเบี้ยประกันชีวิตลงจาก
5% เป็นไม่เกิน 4% ตั้งแต่ 24 ก.ย. 44 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของผลตอบแทนที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันจะถูกลดลงมาเหลือแค่
4% หรือการกำหนดให้มีการยกเลิกการนำอสังหาริมทรัพย์มาเป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองประกันภัย
ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ใน 1 ม.ค. 46 ประเภทของทรัพย์สินที่นำมาจัดสรรเป็นเงินสำรองประกันภัย
(ค่าสินไหมทดแทน) ลดลง จำเป็นต้องมีการหาหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทอื่นๆ
มาทดแทนส่วนที่ลดลงไป ตลอดจน การกำหนดให้มีการประเมินราคาทรัพย์สิน และหนี้สินของธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่
1 ก.ค. 45 นี้ อาจ ทำให้สภาพคล่องของบริษัทประกันภัยลดลงและมีผลกระทบต่อการดำเนินงานได้
เนื่องจากราคาประเมิน ทรัพย์สินและหนี้สินของธุรกิจประกันชีวิตและวินาศภัยในปัจจุบันลดลงจากเดิมพอสมควร