Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 สิงหาคม 2545
ช่อง3เล็งขึ้นราคาโฆษณาต.ค.นี้ ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังขยายตัวสูง             
 


   
www resources

โฮมเพจ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3

   
search resources

บีอีซี เวิลด์, บมจ.




ช่อง 3 เตรียมปรับราคาโฆษณา ตามอัตราการขยายตัวของเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาที่เพิ่มขึ้น เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8-10% คาด สรุปตัวเลขปรับได้สิ้นเดือน ส.ค.นี้ ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังไปได้สวย จีดีพีเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมั่นใจใช้จ่ายเงิน ลูกค้าเริ่มใช้เงินโฆษณาเพิ่ม เผยผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก รายได้และกำไรต่ำกว่าปีก่อน จากสาเหตุภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้เพิ่งฟื้นตัวชัดเจนเดือน ก.พ.

นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงิน บริษัทบีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เปิด เผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการ พิจารณาปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาของช่อง 3 หลังจากไม่ได้ปรับราคา มา 2 ปี คือตั้งแต่ปี 2543 ที่ปรับขึ้น เฉลี่ย 20% ทั้งนี้ในปี 2544 ช่อง 3 ได้เตรียมปรับขึ้นราคาโฆษณาประมาณ 8-10% โดยเฉลี่ยเกือบทุก ช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้ราคาโฆษณาอัตราสูงสุดในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ละครหลังข่าวภาคค่ำ จากเดิมนาทีละ 3.6 แสนบาท จะปรับเป็น 3.9 แสนบาท

แต่หลังเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมประเทศสหรัฐฯ เมื่อ วันที่ 11 กันยายน 2544 ทำให้ต้อง ยกเลิกการขึ้นค่าโฆษณาไว้ก่อน เพราะเกรงว่าลูกค้าจะได้รับผลกระทบ ในขณะที่ปี 2544 ช่อง 7 ได้ ปรับราคาโฆษณาช่วงละครหลังข่าว จากนาทีละ 3.6 แสนบาท เป็น 4.2 แสนบาท

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยดูได้จากการออกมาประกาศตัวเลขการเติบโตของ GDP ปีนี้ที่ 4% ของรัฐบาล ตัวเลขการส่งออกที่ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ อยู่ในระดับสูงขึ้น ประกอบกับในช่วง 6 เดือนแรก เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาขยายตัวเพิ่มขึ้น 10-12%

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าแนวโน้มภาพ รวมเศรษฐกิจประเทศน่าจะขยายตัวมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน เนื่องจากในช่วงครึ่ง ปีหลังของปีก่อนได้รับผลกระทบจากการก่อวินาศกรรม ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลง ทันที แต่ในช่วง ครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมองไม่เห็น เหตุการณ์ใดที่จะเข้ามากระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจ แม้กระทั่งเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคมากจนทำให้ชะลอการใช้จ่ายลงไปทันที

ดังนั้นในเดือน ต.ค.ปีนี้ช่อง 3 จะปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาแน่นอน แต่อัตราส่วนที่จะปรับขึ้นจะดูที่การขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมอีกครั้ง โดยเฉพาะการขยายตัวของอุตสาหกรรมโฆษณาที่มีแนวโน้มจะขยายตัวได้ถึง 15% ภาย ในสิ้นปีนี้ ซึ่งอัตราส่วนการขึ้นราคาค่าโฆษณาของ ช่อง 3 จะสอดคล้องกับตัวเลขการเติบโตของอุตสาหกรรมโฆษณา คาดว่าอย่างน้อยคงไม่ต่ำกว่า 8-10% ซึ่งเคยเป็นฐานตัวเลขเดิมที่ช่อง 3 เคย จะปรับขึ้นในปี 2544 แต่ในปีนี้หากภาพรวมมีแนว โน้มดีขึ้นอย่างชัดเจนเปอร์เซ็นต์การปรับค่าโฆษณาขึ้นอาจจะมากกว่าตัวเลขที่เคยทำไว้ในปี 2544 โดยจะสรุปตัวเลขอัตราการปรับที่แน่นอนในปลายเดือนส.ค.นี้

ส่วนแนวทางในการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (แตกพาร์) ของบีอีซี ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา และบริษัทยังไม่ตัดสินใจที่จะแตกพาร์ เนื่องจากเห็นสภาพตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศแตกพาร์ก่อนหน้านี้ หลังจากแตกพาร์ไป แล้วก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ส่วนกระแสข่าวการนำบริษัท บีอีซี เทโร-เอ็นเตอร์ เทนเม้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบีอีซีที่ถือหุ้นอยู่ 60% เข้าตลาดนั้น ยังไม่ได้มีการหารือเรื่องดังกล่าว และยังไม่อยู่ในแผนของบริษัทแต่อย่างใด

นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหาร กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทไตรมาส 2 ของปีนี้ มีรายได้ 1,410 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบ กับไตรมาส 2 ของปีก่อนที่มีรายได้ 1,449 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิไตรมาส2 ทำได้ 450 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 2ของปีก่อนที่ทำได้ 455 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากดูตัวเลขรายได้ ในช่วงครึ่งปีแรก ของปีนี้จะอยู่ที่ 2,651 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 2,969 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้อยู่ที่ 784 ล้าน บาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 956 ล้านบาท หรือลดลง 17.9% การลดลงของรายได้และกำไร ของช่อง 3 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มาจาก ช่วงครึ่งปีแรกของปี2544 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว การใช้เม็ดเงินโฆษณาขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด จน ทำให้บริษัทเตรียมแผนที่จะปรับขึ้นค่าโฆษณาในเดือน ต.ค.2544

แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมแล้ว ส่งผลเศรษฐกิจชะลอตัวในทันที และต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรกของปีนี้ ที่ภาวะเศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในเดือน ก.พ.เจ้าของสินค้า เริ่มใช้เม็ดเงินโฆษณามากขึ้น ประกอบการเปิดตัวของค่ายโทรศัพท์มือถือออเร้นจสŒ ทำให้ค่ายคู่แข่งจำเป็นต้องออกมาใช้เม็ดเงินโฆษณาเพื่อปกป้องส่วนแบ่งการตลาด

อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ค่อนข้างสดใสและจะขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อนอุตสาห-กรรมโฆษณาได้รับผลกระทบจากการก่อวินาศ-กรรม เจ้าของสินค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติหยุดการ ใช้เงินโฆษณาในทันที เพื่อรอดูสถานการณ์ ทำ ให้ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้โฆษณาน่าจะขยายตัวได้สูงมากจากฐานตัวเลขต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจุบันเริ่มเห็นได้ชัดว่าเจ้าของสินค้าเริ่มมั่นใจในการใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณามากขึ้น จะเห็น ได้จากโปรดักชั่น เฮ้าส์ หลายบริษัทเริ่มเพิ่มพนักงาน เพิ่มเงินเดือน สินค้าหลายประเภทกลับมาใช้เงินโฆษณาเพิ่มขึ้น เช่น การเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาของมิสทิน ที่เป็นซีรี่ส์ยาว การ ลงโฆษณาในช่วงหน้าฝนเจ้าของสินค้าจะมีต้นทุน ต่ำกว่าช่วงอื่น เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้ชมจะเดินทาง ออกนอกบ้านน้อยลง และอยู่ชมรายการทีวีที่บ้านมากขึ้น ทำให้การลงโฆษณาต่อครั้งของเจ้า ของสินค้ามีผู้รับชมมากขึ้น

นายประวิทย์กล่าวต่อว่า จากการสำรวจตลาดและผู้ชมรายการทีวีของเอซีนีลเส็น ในช่วงครึ่งปีแรกของปี ด้านส่วนแบ่งการตลาดการใช้เม็ดเงินโฆษณา อันดับ 1 คือ ช่อง 7 สัดส่วน 28.7% ช่อง3 สัดส่วน 26.8% ช่อง 5 สัดส่วน 20.6% ไอทีวี 12.1% และช่อง 9 สัดส่วน 11.8% ส่วนความนิยมการชมรายการสูงสุด หรือเรตติ้ง อันดับ 1 ช่อง 7 จำนวน 39.7% ช่อง3 จำนวน 32.1% ช่อง 9 จำนวน 9.9% ช่อง5 จำนวน 8.9% ไอทีวี 6.3% และช่อง 11 จำนวน 3.2%

การที่ช่อง 3 มีส่วนแบ่งการตลาด และผู้ชม น้อยกว่าช่อง 7 ไม่ถือว่าเป็นสำคัญ หรือเสียหาย อะไร เพราะอันดับ 1 กับ 2 ระหว่างช่อง 3 และ 7 จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับละครที่ทั้ง 2 ช่อง นำเสนอว่าได้รับความนิยมจากผู้ชมหรือไม่ ซึ่งละครในปัจจุบันเปลี่ยนเรื่องเร็วใช้ระยะเวลา 1-1เดือนครึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเดือน ต.ค.นี้ ช่อง 3 จะปรับผังรายการในบางช่วง เช่น ช่วงกลางวัน เสาร์-อาทิตย์ และช่วงเมจิค ทรี หลัง 22.30 น.ของทุกวันใหม่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us