Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน11 กรกฎาคม 2548
เศรษฐกิจ "ตกท้องช้าง" ยาว แบงก์ผวา NPL-ชะลอปล่อยกู้             
 


   
search resources

Economics




เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังตกภาวะท้องช้างนาน เหตุแนวโน้มดอกเบี้ยปรับขึ้น-ราคาน้ำมันสูงกำลังกดดันให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นจากความสามารถลูกค้าในการชำระหนี้สถาบันการเงินที่ลดลง เผยแบงก์รัดเข็มขัดไม่ปล่อยกู้ ธุรกิจขาดสภาพคล่อง จับตาอสังหาฯ กระทบหนัก เผยยอดสินเชื่อก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการรีไฟแนนซ์หนี้เดิม แฉตัวเลขเศรษฐกิจ 5 เดือนแรก ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 4,672 ล้านเหรียญ เหตุนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 74% ผู้ถูกเลิกจ้างงานเพิ่มขึ้น 51% การใช้จ่ายภาคครัวเรือนหดตัว ชาร์เตอร์ดแบงก์ชี้น้ำมันยังเป็นปัจจัยลบต่อเนื่อง "ทักษิณ" เตรียมแสดงปาฐกถา "ประเทศไทยกับเศรษฐกิจฐานความรู้" 3 ทุ่มอังคารนี้ ด้านคณะทำงานเศรษฐกิจ ปชป.เปลี่ยนชื่อเมกะโปรเจกต์เป็น "หมกโปรเจกต์"

นางสาวถนอมศรี ฟองอรุณรุ่ง นักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด เปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังว่า ตัวแปรหลักที่กดดันเศรษฐกิจยังคงเป็นเรื่องของราคาน้ำมัน หากยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศหากสามารถทำได้ประมาณ 80% ของเป้าที่ตั้งไว้ เชื่อว่าจะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

"รัฐบาลควรปล่อยให้ทุกอย่างสะท้อนความเป็นจริง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่จำเป็นต้องประกาศลอยตัว เพื่อให้ทุกคนได้ปรับตัว และหันมาประหยัดมากขึ้น"

นางสาวถนอมศรีกล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก มีการชะลอตัวรุนแรง เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง เพราะไทยจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ หากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวตาม จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่อยู่ใน "ภาวะท้องช้าง" หรือเศรษฐกิจตกเป็นกราฟรูปตัวยู (U) ซึ่งมีแนวโน้มยาวนานขึ้น

ส่วนนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงครึ่งปีหลังคงต้องส่งสัญญาณการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพื่อป้องกันการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และป้องกันเงินทุนไหลออก ซึ่งจุดนี้ธปท.ต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงกับหลายธุรกิจ

นักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร เผยว่าปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเริ่มควบคุมการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหากเร่งปล่อยกู้อาจทำให้เกิดปัญหาในอนาคต โดยเฉพาะแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบสถาบันการเงินในขณะนี้ ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้น ยิ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยิ่งมีความเสี่ยง เนื่องจากในช่วงก่อนหน้ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก แต่ตอนนี้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้น กำลังซื้อหรือความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อบ้านลดลงตาม

ข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในช่วง 5 เดือนแรก จะขยายตัวต่อเนื่องสูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวประมาณ 5.1% หรือมียอดเงินให้กู้ยืมกว่า 5.4 ล้านล้านบาท แต่เมื่อลงในรายละเอียดพบว่า สินเชื่อที่ขยายตัวในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการรีไฟแนนซ์หนี้ของลูกหนี้ที่เริ่มประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้แบงก์ต้องให้ความช่วยเหลือ หรือลูกหนี้เองหันไปรีไฟแนนซ์หนี้กับแบงก์แห่งใหม่ เนื่องจากความสามารถในการชำระหนี้ลดลง

จุดนี้ไม่ใช่การขยายตัวของสินเชื่อที่แท้จริง ถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าแนวโน้มเอ็นพีแอลรอบใหม่จะกลับมาสร้างปัญหาให้แก่ระบบสถาบันการเงิน เนื่องจากผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงขึ้น แนวโน้มยอดขายที่อาจไม่เป็นไปตามเป้า

ทั้งนี้ เอ็นพีแอลไตรมาส 1 ของปี 2548 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ที่ 562,335.85 ล้านบาท หรือ 11.85% ของสินเชื่อรวม เผยตัวเลขครึ่งปีแรกศก.ดิ่งเหว

ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการชื่อดัง เผยแพร่รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรก ปี 2548 ว่า สัญญาณเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกชะลอตัวลงอย่างมาก โดยพบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรก ขายตัวเพียง 3.3% ชะลอตัวลงจากเฉลี่ย 6.1% ในปี 2547 โดยตัวแปรหลักมาจากราคาน้ำมัน สึนามิ ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ และภาวะภัยแล้ง (ดูตารางหน้า 1 ประกอบ)

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกพบว่า ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2548 มีตัวเลขขาดดุลสูงถึง 1,621 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5 เดือนแรกของปีนี้ ขาดดุลการค้ากว่า 6,609 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการขาดดุลมากที่สุดในรอบ 8 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าน้ำมัน รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปิดเขตการค้าเสรี (FTA)

ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาขาดดุลกว่า 1,564 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม 5 เดือนแรกของปีนี้ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 4,672 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การน้ำเข้าน้ำมันในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 8,229 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือนพ.ค. มีการนำเข้าน้ำมันสูงถึง 2,429 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดฮวบ

ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2548 พบว่าอยู่ที่ระดับ 83.10 ซึ่งลดลงต่ำกว่า 100 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และปรับตัว ลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 อีกทังยังมีค่าต่ำสุดในรอบ 30 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการทำงานในเดือนพ.ค. ลดลงมาอยู่ที่ 81.1 ต่อสุดในรอบ 2 ปี นอกจากนี้ ยังพบว่าไตรมาสแรกการใช้จ่ายครัวเรือนขยายตัวเพียง 4.5% ชะลอตัวลงจาก 5.4% ในไตรมาสที่แล้ว

ส่วนสถานการณ์การจ้างงานในเดือนพ.ค. พบว่า ในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ข้อมูลที่น่าสนใจคือ จำนวนผู้ถูกเลิกจ้างในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2548 คือ ผู้ถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้นกว่า 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตำแหน่งงานว่างเดือน พ.ค.ลดลง 13.7% และการบรรจุงานลดลง 34.2% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซลเท่ากับ 24.94 และ 21.39 บาทต่อลิตร

สแตนชาร์ดฯปรับเป้าเศรษฐกิจ

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด นครธน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารเตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นแตะที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยก่อนหน้าเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาได้เคยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจากเดิมคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 5.3% เหลือ 4.4% โดยเตรียมประกาศปรับประมาณการเร็วๆ นี้

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ตัวแปรหลักยังคงเป็นสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะในช่วงปลายปีความต้องการใช้น้ำมันมีสูง เนื่องจากเป็นฤดูหนาว

นางสาวอุสรากล่าวว่า ความท้าทายในการบริหารเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของรัฐบาลมี 2 ตัวแปรที่สำคัญคือ โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลในช่วง 5 ปีข้างหน้า ที่มีมูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านบาท รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าการประชุมคณะนโยบายการเงินธปท.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ค.ที่จะถึงนี้จะมีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะสั้น 14 วัน เพื่อลดส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างไทยกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับ 40.50-41.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเชื่อว่าในไตรมาส 3 ของปีนี้จีนจะปรับค่าเงินหยวนประมาณ 3% อสังหาฯฝืดรายได้ไม่พอคืนหนี้

นายวันจักร์ บูรณศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหริทรัพย์ทั้งปีคาดว่าต้นทุนการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 5-10% จากราคาวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องขึ้นราคาบ้าน 5-10% แต่การปรับขึ้นไม่สามารถทำได้ทุกทำเล ดังนั้นผู้ประกอบการควรระมัดระวังการเปิดตัวโครงการใหม่

แหล่งข่าววงการอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า เริ่มเข้าสู่ครึ่งปีหลังของปีนี้ผู้ประกอบการหลายรายให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่ายอดขายตกต่ำ การขายต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้น่าเป็นห่วง เพราะย่อมจะมีผลต่อรายได้ที่จะเข้ามา และหากบริษัทใดมีการบริหารสภาพคล่องกับเงินกู้ไม่เหมาะสมแล้วอาจจะมีผลต่อเครดิตของบริษัทนั้นๆ ภาพที่เห็นในขณะนี้ หลายบริษัทพุ่งเป้าที่จะลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ต่ำลงเพื่อเป็นการรักษาระดับของหนี้ไม่ให้สูงมากนัก ในภาวะที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น

"ผู้ประกอบการอสังหาฯ ไม่เสี่ยงที่จะมีปัญหาเครดิต โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้กับสถาบันการเงิน เพราะนั่นหมายถึงปัญหาระยะยาวที่จะถูกสถาบันการเงินไม่ไว้ใจ และยิ่งกำลังซื้อลดลง เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย การตั้งมั่นเพื่อประคองฐานะไม่ให้ถดถอย เป็นเรื่องที่ทุกบริษัทตระหนัก และมีบทเรียนเรื่องเอ็นพีแอลมาแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

ปูนใหญ่จี้เร่งแก้ลอจิสติกส์

นายกานต์ ตระกูลฮุน รองกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงถึง 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ย่อมทำให้เศรษฐกิจของประเทศต้องชะลอตัวลง ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกเดือนละ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13% แต่มีการนำเข้าถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายได้จากภาคบริการ อาทิ การท่องเที่ยวก็ลดลง ทำให้ไทยมีปัญหาการขาดดุลบัญชีชำระเงิน ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งแก้ผลกระทบจากราคาน้ำมัน ผลักดันให้มีการลงทุนระบบลอจิสติกส์เพื่อให้มีการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดต้นทุนค่าขนส่งให้ต่ำสุดเพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในต่างประเทศได้

ทักษิณเรียกทีมเศรษฐกิจวันนี้

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในช่วงเย็นวันที่ 11 ก.ค.นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายก-รัฐมนตรีจะเรียกรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเข้าหารืออีกครั้ง เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการรับมือภาวะเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นหลังจากที่ได้เรียกมาร่วมประเมินสถานการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และฝากการบ้านให้ไปทำในวันเสาร์ และอาทิตย์ โดยเฉพาะให้ทุกหน่วยงานยืนยันตัวเลขความเป็นจริงที่เกิดขึ้นว่ามีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร

รายงานข่าวแจ้งว่ามาตรการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นที่ขณะนี้นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายนายกรัฐมนตรีได้สรุปและรวบรวมรายงานเพื่อเสนอให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในวันจันทร์ที่ 11 ก.ค.นี้ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ จะนำรายละเอียดดังกล่าวกลับไปร่างด้วยตัวเอง ก่อนที่จะนำไปกล่าวในการแสดงปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อเรื่อง "ประเทศไทยกับเศรษฐกิจฐานความรู้" ในงานกาล่าดินเนอร์ "72 ปี มงฟอร์ตร่วมต่อเติมอนาคตการศึกษาไทย" ในวันอังคารที่ 12 ก.ค. เวลา 21.00 น. ณ หอประชุมกองทัพเรือ พระราชวังเดิม กรุงเทพมหานคร โดยใช้เวลาปาฐกถาประมาณ 45 นาที

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าในมาตรการระยะสั้น มีความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรีจะรับข้อเสนอของนายพันศักดิ์ ในประเด็นการเร่งลอยตัวราคาน้ำมัน โดยการทำแผนอนุรักษ์พลังงาน การกระตุ้นการจ้างงานโดยเฉพาะแรงงานภาคการผลิต การจ้างงาน ในโครงการพิเศษหรือชั่วคราว ในส่วนของนักศึกษา ที่เพิ่งจบการศึกษาและว่างงาน ซึ่งเชื่อว่าโครงการเหล่านี้จะสามารถบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นได้ นอกจากนั้นยังร่วมไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือผู้รับเหมาก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี อาจจะเล่าถึงงบประมาณด้านการกระตุ้นการท่องเที่ยว เร่งด่วนในปี 2548 ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรฐมนตรี และรมว.คลัง เห็นชอบงบประมาณ 2,500 ล้านบาทในหลักการ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนำไปจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะการจ้างงาน โดยเน้นการท่องเที่ยวเป็นหลัก นายกรัฐมนตรียังอาจจะเห็นชอบกับการเร่งรัดโครงการหมู่บ้านนำร่อง เอสเอ็มแอล ที่จะมีการอนุมัติงบประมาณให้แก่หมู่บ้านที่เหลือ

รายงานข่าวระบุอีกว่า มาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลจะประกาศออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะเป็นไปในลักษณะการเร่งกระบวนการนำเงินเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยผ่านงบประมาณ ทั้งงบประมาณปกติ และงบกลาง ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณนั้น มีแนวคิดที่จะเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการที่รัฐบาลประกาศปรับเพิ่มขึ้น ในเดือน เม.ย.49 แต่จะเลื่อนเร่งเบิกจ่ายในเดือน ต.ค.ปีนี้

สำหรับ 12 มาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย 1. การเพิ่มรายได้ข้าราชการ โดยเลื่อนการขึ้นเงินเดือนจากเดิมเมษายน 2549 เป็นตุลาคม 2548 แทน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ 2. ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ค่าครองชีพ 3. มาตรการภาษีเพื่อให้เอกชนปรับฐานเงินเดือน โดยให้เอกชนจัดค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเป็นค่าฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากร ให้พนักงานไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อปรับฐานเงินเดือน และให้เอกชนนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการ เสียภาษีได้ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง 4. ยกระดับสินค้าเกษตร ให้กระทรวงพาณิชย์กลับไปพิจารณามาตรการ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อของเกษตรกร 5. ประเมินที่ดินรายปีให้เป็นตีมูลค่าทรัพย์สิน เพื่อให้ราคาที่ดินตรงความเป็นจริงมากขึ้น 6. เร่งรัดงบประมาณ ให้เบิกจ่ายได้เร็วขึ้น

7. ปรับโครงสร้างหนี้บุคคล เพื่อลดภาระ 8. ลดค่าใช้จ่ายเพื่อขยายโอกาสทางการศึกษา เช่นเงินทุนให้ยืมก่อนแล้วผ่อนรัฐบาลทีหลัง เงินกู้เพื่อการศึกษาเพื่อลดภาระผู้ปกครอง 9. สร้างเสถียรภาพราคาน้ำมัน เช่น การตั้งกองทุนลดความเสี่ยง 10. เร่งเบิกจ่ายเงินงวด โดยเฉพาะโครงการที่มีคำยืนยันว่ามีการส่งมอบของ (แอล/ซี) ก็ให้เบิกจ่ายงบฯได้โดยไม่ต้องรอว่าจะต้องมีการส่งมอบของหรือโครงการ 11. ฝึกอบรมด้านบริการโดยเฉพาะ ท่องเที่ยว 12. ประชาสัมพันธ์ข่าวเศรษฐกิจให้ชัดเจน เช่น ตัวเลขนำเข้าส่งออก

เปลี่ยนเมกะโปรเจกต์เป็นหมกโปรเจกต์

นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ว่าเป็นโครงการหมกโปรเจกต์ ประกอบด้วย

1. หมกการขาดดุลฯ เพราะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการขาดดุลฯ เพราะการชี้แจงของกระทรวงการคลังล่าสุด ได้ปรับสมมติฐานให้การส่งออกโต 15% ราคาน้ำมัน 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งๆ ที่แผนการลงทุนที่เสนอต่อ ครม. เมื่อ 14 มิ.ย.48 ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 45.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการส่งออกปี 48 โต 20% ยังพบว่าขาดดุล 2.04%, 3.29% และ 2.15%ของจีดีพี ระหว่างปี 50-52 ตามลำดับ ดังนั้นผลการวิเคราะห์ล่าสุดน่าจะขาดดุลฯ มากขึ้น แต่กระทรวงการคลังยังยืนยันว่าจะไม่เกิน -2% GDP

2. หมกค่าโง่ การที่รัฐบาลยืนยันมาโดยตลอดว่าหากขาดดุลเกินกว่าที่กำหนดจะชะลอโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่าออกไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการอย่างไรและไม่รู้ว่าใช้เกณฑ์อะไร และถ้ารัฐเร่งทำโครงการต่างๆ พร้อมๆ กัน เมื่อเริ่มต้นก่อสร้างแล้วจะชะลอได้อย่างไร เพราะเมื่อเริ่มต้นลงทุนก่อสร้างโครงการต่างๆ การชะลอโครงการ หมายความว่า รัฐจะผิดสัญญากับผู้รับเหมา รัฐต้องจ่ายค่าเสียหาย หรือค่าโง่ให้แก่ผู้รับเหมา ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ก่อสร้างต่อ

3. หมกการนำเข้า รัฐบาลจะควบคุมสัดส่วนการนำเข้าให้อยู่ที่ 30% ได้อย่างไร ในเมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินมีสัดส่วนนำเข้าโดยตรง 40% แม้จะมีแนวคิดจัดตั้งโรงงานประกอบรถไฟฟ้าในประเทศ แต่อุตสาหกรรมรถไฟฟ้าใช้เทคโนโลยีชั้นสูง การผลิตในประเทศจึงช่วยลดสัดส่วนการนำเข้าได้ไม่มากนัก และหากโครงการต่างๆ เริ่มต้นไปแล้ว พบว่ามีสัดส่วนการ นำเข้าโดยรวมเกิน 30% จะควบคุมอย่างไร รัฐบาลจะเปลี่ยนสเปกของโครงการกลางทาง เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิหรือไม่ และหากมีวัสดุอุปกรณ์ที่มีสัดส่วนการนำเข้าต่ำกว่า ทำไมไม่กำหนดสเปกไว้ตั้งแต่ก่อนทำสัญญาก่อสร้าง

4. หมกการอุดหนุน รัฐบาลไม่ได้แสดงตัวเลขออกมาให้ชัดเจนว่า ความคุ้มค่าของแต่ละโครงการเป็นอย่างไร ในอนาคตรัฐบาลจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ และอุดหนุนโครงการทั้งหมดในแต่ละปีเป็นเงินเท่าไร แม้ว่าเมกะโปรเจกต์จะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ส่วนใหญ่อาจไม่คุ้มทุน ทำให้เอกชนไม่ลงทุน รัฐบาลต้องเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้รัฐรับภาระอุดหนุนโครงการอย่างไม่สิ้นสุดอย่างโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่เห็นด้วยที่จะนำเงินภาษีของประชาชนทั่วประเทศมาอุดหนุนให้กับคนกรุงเทพฯเพื่อจังหวัดเดียว เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างเท่าเทียมกันทั้งประเทศ

"รัฐบาลควรศึกษาโครงการต่างๆ ให้รอบคอบ ก่อนเริ่มโครงการ อย่าก่อสร้างไปเปลี่ยนสเปก ของโครงการไป หรือเปลี่ยนสเปกกลางอากาศ รวมทั้งต้องกำหนดแผนสำรองกรณีแย่ที่สุดเอาไว้ด้วย เช่น หากงบบานปลายจะหาเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากแหล่งใด นอกจากนี้รัฐบาลควรปรับรูปแบบการลงทุนและการบริหารบางโครงการให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น เพื่อจูงใจให้เอกชนมาร่วมลงทุน และลดภาระทางการคลังของรัฐบาลด้วย" นายเกรียงศักดิ์กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us