Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2532
ไม่มีใครเสียใจกับการจากไปของเท่ห์ จงคดีกิจ             
โดย ขุนทอง ลอเสรีวานิช
 


   
www resources

โฮมเพจ บางกอกโพสต์
โฮมเพจ เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป

   
search resources

เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป, บมจ.
โพสต์ พับลิชชิง,บมจ
เท่ห์ จงคดีกิจ
Newspaper




การลาออกจากตำแหน่งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งฉบับใดของใครคนหนึ่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ แต่การลาออกจากบางกอกโพสต์ของเท่ห์ จงคดีกิจ นั้น

กลายเเป็นเรื่องที่ผิดปกติและสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ความไม่ปกตินั้นสืบเนื่องมาจากบางกอกโพสต์ถือได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษที่เก่าแก่มีชื่อเสียงรู้จักกันทั้งในและนอกประเทศ

การเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารกองบรรณาธิการย่อมทำให้เกิดความสนใจต่อผู้ที่รู้จักหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ และความผิดธรรมดาอีกประการหนึ่งก็เพราะว่า คนที่ลาออกคือ

คนที่อยู่บางกอกโพสต์มาตั้งแต่แรกเริ่มตลอดมาจนถึงปีที่ 43 ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ แถมยังเป็นการลาออกเพื่อไปร่วมงานกับหนังสือพิมพ์ที่เเป็นคู่แข่งกันมาตลอดอย่างเดอะ เนชั่น

ประวัติความเป็นมาของเท่ห์ค่อนข้างจะลึกลับอยู่พอสมควรเป็นที่รับรู้กันแต่เพียงว่า เขาไม่ใช่คนไทยโดยกำเนิด เพิ่งจะมาเปลี่ยนสัญชาติเเป็นไทยในภายหลัง

แต่ในเรื่องถิ่นกำเนิดที่แท้จริงนั้นยังไม่มีใครรู้อย่างชัดเจน รู้กันแต่ว่าสัญชาติเดิมของเท่ห์นั้นคือสิงคโปร์ คนที่เคยสืบเสาะเชื้อชาติที่แท้จริงของเท่ห์บางคนบอกว่า เท่ห์เป็นคนพม่า

แต่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่สิงคโปร์ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของมาเลย์ แต่กระแสข่าวอีกด้านหนึ่งก็ระบุว่า พื้นเพเดิมของเขานั้นเป็นคนมาเลย์ทีเดียว ไม่ได้พลัดถิ่นมาจากไหน

แต่เป็นคนมาเลย์ที่อาศัยอยู่บนเกาะสิงคโปร์ พอสิงคโปร์แยกตัวเป็นประเทศอิสระหลังสงครามโลกครั้งที่สองเขาก็เลยกลายเป็นคนสิงคโปร์ไปโดยอัตโนมัติ

จุดเริ่มต้นในการเข้ามาทำงานที่บางกอกโพสต์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่แน่ชัด เสียงหนึ่งบอกว่าเขาเคยร่วมกับ OSS ซึ่งเป็นหน่วยงานลับของค่ายสัมพันธมิตรในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

ที่ทำหน้าที่ประสานงานกับขบวนการรักชาติของประเทศที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายอักษะ พอสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง อเล็กซานเดอร์ แม็คโดนัลด์ เจ้าหน้าที่ของ OSS

ที่ติดต่อกับขบวนการเสรีไทย ได้ร่วมกับผู้นำเสรีไทยบางคนก่อตั้งบางกอกโพสต์ขึ้น เท่ห์ก็เลยได้เข้ามาร่วมงานกับบางกอกโพสต์ด้วยสายสัมพันธ์นี้ อีกเสียงหนึ่งแย้งว่า

เท่ห์ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับ OSS การเข้ามาในบางกอกโพสต์ของเขาก็เพราะว่าเขาพูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษได้

ช่วงที่บางกอกโพสต์เกิดขึ้นมาก็กำลังหาคนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ซึ่งมีอยู่น้อยคนในตอนนั้น เท่ห์ก็เลยได้เป็นส่วนหนึ่งของบางกอกโพสต์ด้วยเหตุนี้ แม้แต่เรื่องอายุที่เจ้าตัวบอกกับใครต่อใครว่า

อายุ 69 ปี ก็ยังอุตสาหะมีข้อมูลใหม่ว่าน่าจะมากกว่านั้นคือ 72 ปี มีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับเท่ห์ก็คือท่วงทำนองการทำหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีจุดยืน ไม่เป็นตัวของตัว

ต้องคอยเกาะอำนาจทางการเมืองอยู่ทุกสมัย ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่หลายเรื่อง ในช่วงก่อนปี 2516 เเป็นที่รู้จักกันว่าบางกอกโพสต์ โดยการนำของเท่ห์ เสนอข่าวที่ยืนอยู่ข้างรัฐบาลถนอม

ประภาส มาโดยตลอดแต่ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2514 จนสามทรราชย์ต้องเดินทางออกนอกประเทศ วันรุ่งขึ้นบางกอกโพสต์พาดหัวทันทีว่า

"บุคคลที่น่ารังเกียจได้เดินทางออกจากประเทศไปแล้ว" ตามมาด้วยข่าวการขุดคุ้ยเบื้องหลังการโกงชาติของทั้งสามคนอีกพักใหญ่

ช่วงปี 2516-2519 ซึ่งเป็นช่วงที่ฝ่ายซ้ายมีบทบาทสูงในสถานการณ์ทางการเมือง บางกอกโพสต์เป็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่แสดงท่าทียึดเกาะกับอำนาจเดิมอยู่อย่างเหนียวแน่น

โดยการสนอข่าวในทำนองดิสเครดิตขบวนการนักศึกษาและนักการเมืองค่ายสังคมนิยมอยู่เสมอ จนถูกกล่าวหาว่าเป็นกระบอกเสียงของกองทัพและอเมริกา หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

ขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นถูกปิด บางกอกโพสต์กลับเป็นหนังสือพิมพ์ที่เปิดดำเนินการได้รวดเร็วที่สุด อีกฉบับหนึ่งคือ หนังสือพิมพ์ดาวสยาม ว่ากันว่าเพราะทั้งสองฉบับนี้

เกื้อกูลเป็นอย่างดีกับกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ยุคสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเเป็นเวลาถึงแปดปีเท่ห์มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับรัฐบาลนี้โดยผ่านความสัมพันธ์ที่มีมาก่อนหน้านั้นกับประสงค์ สุ่นศิริ

เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่สมัยที่ประสงค์ยังเเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงอยู่ บางกอกโพสต์ได้ข่าวเอ็กซคลูซีฟทางการเมืองระดับสูงอยู่เสมอ ในขณะที่เดอะเนชั่น

และหนังสือพิมพ์ไทยฉบับอื่นไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลย ก็ด้วยเสียงกระซิบจากเลขาคู่ใจคนนี้ และบางกอกโพสต์ก็ตกข่าวไปหลายข่าวเหมือนกัน เเป็นการตกข่าวอย่างจงใจ

เพราะเป็นข่าวที่ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล นักข่าวบางกอกโพสต์ต้องทำข่าวด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงนั้น โดยเฉพาะข่าวที่อาจจะมีผลกระทบต่อรัฐบาล

ตัวอย่างที่ชัดเจนและกระทบต่อความรู้สึกของคนในบางกอกโพสต์เเป็นอย่างมากก็คือ การเกิดกรณีพิพาทสามหมู่บ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างไทยกับลาวเมื่อปี 2528

ช่างภาพของบางกอกโพสต์บุกเข้าไปถ่ายภาพถึงในพื้นที่ แต่ภาพดังกล่าวไม่มีโอกาสนำสู่สายตาคนอ่าน อีกกรณีหนึ่งคือ ข่าวขุนส่า ที่นักข่าวบางกอกโพสต์

และนักข่าวต่างประเทศเดินทางไปสัมภาษณ์ขุนส่าในเขตพม่า หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นไม่ได้ข่าวนี้ยกเว้นบางกอกโพสต์ แต่แล้วข่าวดังกล่าวกลับถูกยกออกไป ทั้งสองกรณีนี้มีเบื้องหลังอยู่ว่า

เท่ห์ยกหูโทรศัพท์ไปถามความเห็นจากประสงค์ว่าจะลงได้ไหม ซึ่งประสงค์ไม่เห็นด้วยที่จะเสนอข่าว สองข่าวนี้จึงถูกยกออก ในช่วงหลังของรัฐบาลเปรม

เท่ห์ได้เปิดคอลัมน์ใหม่ในบางกอกโพสต์ใช่ชื่อว่า HAVE YOU HEARDIT เเป็นคอลัมน์ทำนองข่าวกรอง ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับบุคคลและเหตุการณ์ในแวดวงการเมือง การทหาร และหลายๆ ครั้ง

คอลัมน์นี้ถูกใช้เเป็นเครื่องมือในการกระแนะกระแหนนักหนังสือพิมพ์ด้วยกันหรือบุคคลอื่นที่ออกข่าวในทางลบต่อรัฐบาลเปรมและประสงค์ เท่ห์เเป็นผู้เขียนคอลัมน์นี้เองสัปดาห์ละครั้ง

ใช่นามปากกาว่า "จิ้งจก" ซึ่งนักข่าวหลายคนกล่าวว่า เเป็นนามปากกาที่สอดคล้องกับบุคลิกและพฤติกรรมของคนเขียนเเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังการสิ้นสุดยุคเปรมเมื่อกลางปี 2531

ชื่อของเปรมและประสงค์ก็เริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของเท่ห์ ประสงค์ถึงกับเปรยกับนักข่าวบางกอกโพสต์ว่า "บางกอกโพสต์คงจะไม่ลงเรื่องของผมอีกต่อไปแล้ว"

ด้วยจุดยืนที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเช่นนี้ ทำให้เท่ห์ไม่เเป็นที่ยอมรับของนักข่าวส่วนใหญ่ในบางกอกโพสต์ และประกอบกับเท่ห์เองก็ไม่เคยแสดงบทบาทการเเป็นบรรณาธิการในการปรับปรุง

พัฒนาวางแผนงานเพื่อเพิ่มคุณภาพของหนังสือแต่อย่างใด คนในกอง บ.ก.มองว่า เท่ห์ไม่เคยทำอะไรเลย "วิธีทำงานของเท่ห์ เขาไม่เคยคุมงานข่าว

ไม่เคยตรวจข่าวยกเว้นเรื่องที่แสดงจุดยืนของหนังสือพิมพ์ไม่กี่เรื่อง ปกติเขาจะมาถึงที่ทำงาน สิบโมงเช้า เดินไป เดินมา ยืนสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าไปทำอะไร

พอห้าโมงเย็นก็กลับมาใหม่" อดีตนักข่าวอาวุโสของบางกอกโพสต์เล่าให้ฟังถึงกิจวัตรประจำวันของเท่ห์ บางกอกโพสต์ในยุคที่เท่ห์เเป็น บ.ก.อยู่จึงเเป็นยุคที่นักข่าวคนเดิมกล่าวว่า

"เละเทะพอสมควร" ที่อยู่มาได้ก็เพราะความสามารถเฉพาะตัวของนักข่าว แต่ก็เเป็นการอยู่แบบไม่มีทิศทาง ปลายปี 2528

มีการรวมตัวกันของนักข่าวยื่นหนังสือให้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตัวบรรณาธิการ

ทางผู้บริหารของบางกอกโพสต์และเท่ห์พยายามที่จะลดแรงกดดันอันนี้ลงด้วยการรับปากว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานในเวลาอันไกล้ ความพยายามหนึ่งที่แสดงออกมาคือ การนำ

ดร.ปรัชญาทวี ตะเวทิกุล ซึ่งเเป็นรองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น เข้ามาเป็นผู้ช่วยเท่ห์ โดยมีคำมั่นสัญญาแบบสุภาพบุรุษว่า

ปรัชญาทวีจะขึ้นสู่ตำแหน่งบรรณาธิการต่อจากเท่ห์ในอีกไม่ช้า พร้อมๆ กันนั้นก็ดำเนินการสลายกำลังของนักข่าวร่นใหม่ๆ ที่เเป็นผู้ร่วมกลุ่มก่อกระแสเรียกร‰องการเปลี่ยนแปลง

โดยการโยกย้ายให้ไปอยู่ในตำแหน่งงานที่ไม่มีโอกาสจะเข้ามารวมตัวกันอีก ปรัชญาทวีอยู่ที่บางกอกโพสต์ได้เพียงปีเศษๆ ก็ต้องลาออกมาเมื่อเดือนกันยายน 2530

เพราะเท่ห์ไม่ได้มอบหมายงานให้ทำเลย เนื่องจากการดึงปรัชญาทวีเข้าไปเเป็นเพียงเพื่อผ่อนคลายแรงกดดันจากนักข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเท่านั้น อำนาจและบทบาททั้งหมดยังอยู่ในมือของเท่ห์

ก่อนหน้าที่ปรัชญาทวีจะลาออก เท่ห์คิดที่จะโยกย้ายเขาไปแขวนในตำแหน่งที่ปรึกษา ประจวบกับปรัชญาทวีเกิดความเบื่อหน่ายถึงที่สุด จึงชิงลาออกมาเสียก่อน

ปรัชญาทวีพูดกับเพื่อนข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศหลังลาออกมาใหม่ๆ ว่า เขาเจ็บปวดกับการกระทำของเท่ห์มาก แต่กระแสความไม่พอใจในตัวเท่ห์

การเรียกร้องบรรณาธิการคนใหม่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เท่ห์ต้องขัดแย้งกับระดับบริหารของบางกอกโพสต์ซึ่งนำมาสู่การลาออกในที่สุด

คนที่มีบทบาทและมีอิทธิพลมากที่สุดในบางกอกโพสต์คือ เอียน เจมส์ ฟอว์เซ็ท กรรมการผู้จัดการคนก่อนและเเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการในปัจจุบัน ฟอว์เซ็ทเเป็นชาวออสเตรเลีย

แต่ไปประกอบอาชีพนักข่าวอยู่ที่อังกฤษหลายปี เขาเข้ามาร่วมกับบางกอกโพสต์เมื่อปี 2519 ตอนนั้นกรรมการผู้จัดการของบางกอกโพสต์คือ ไมเคิล กอร์แมน ซึ่งเเป็นคนของลอร์ดทอมสัน

อดีตหุ้นใหญ่ที่สุดของบางกอกโพสต์ส่งเข้ามาดูแลตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 กอร์แมนนั้นยังเกี่ยวดองกับลอร์ดทอมสัน เพราะไปแต่งงานกับหลานสาวของลอร์ดทอมสันด้วย

ซึ่งลอร์ดทอมสันได้ยกหุ้นบางกอกโพสต์จำนวนหนึ่งให้กับหลานสาวและตกมาเเป็นของกอร์แมนในตอนหลัง ฟอว์เซ็ทเองก็เเป็นคนที่ลอร์ดทอมสันส่งเข้ามา

เพราะหลังจากกอร์แมนเป็นกรรมการผู้จัดการได้สองปีก็มีข่าวว่า มีการเบียดบังเงินของบริษัทไปใช่ส่วนตัว ฟอวเซทจึงถูกส่งเข้ามาเป็นหูเเป็นตาคอยประกบกับกอร์แมน

ในฐานะบรรณาธิการร่วม ตอนนั้นเท่ห์ยังเป็นแค่ผู้อาวุโสสูงสุดในกองบรรณาธิการเท่านั้น บรรณาธิการตัวจริงคือกอร์แมน

แต่กอร์แมนก็ไม่เคยมีประสบการณ์การทำหนังสือพิมพ์มาก่อนการส่งฟอร์เซ็ท

ซึ่งเคยเป็นนักข่าวมาก่อน จึงเเป็นความต้องการอีกข้อหนึ่งของลอร์ดทอมสันที่ต้องการให้ฟอว์เซ็ทคอยดูแลกองบรรณาธิการที่เท่ห์มีบทบาทสูงสุดอยู่

บางกอกโพสต์จึงมีมุ่งเล็กในมุ่งใหญ่อยู่ถึงสามหลังด้วยกันคือ ไมเคิล กอร์แมน เท่ห์ จงคดีกิจ และเอียน ฟอว์เซ็ท ที่ดูเหมือนจะเป็นขมิ้นกับปูนกันก็คือ

กอร์แมนกับฟอว์เซ็ทเพราะฝ่ายหลังอยู่ในฐานะที่ต้องคอยตรวจสอบ จับตาดูการทำงานของฝ่ายแรก ความขัดแย้งระหว่างกอร์แมนกับฟอว์เซ็ทมีมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงปี 2526

ที่กอร์แมนตกเเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาทที่บางกอกโพสต์ลงบทความของมนตรี เจนวิทย์การ โจมตีการไปเยือนเวียดนามของไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และอาจารยŒนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง

กอร์แมนถูกศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี แต่ศาลผ่อนผันให้ลดโทษจำคุกเป็นการกักบริเวณ 1 เดือนแทน ฟอว์เซ็ท อาศัยจังหวะนี้ยึดใบอนุญาตการเเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาจากกอร์แมน

และเข้าเป็นกรรมการผู้จัดการ เช่นเดียวกับเท่ห์ที่ขึ้นเเป็นบรรณาธิการของบางกอกโพสต์อย่างเต็มตัว โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบางกอกโพสต์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่ลอร์ดทอมสัน

เคยถือหุ้นใหญ่อยู่ถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ไปอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นคนไทยเช่น กลุ่มเชาว์ เชาว์ขวัญยืน กลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มอิตัลไทย เพราะลอร์ด ทอมสัน

ได้พยายามลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเมื่อตอนเพิ่มทุนจดทะเบียนปลายปี 2519 และหลังจากที่ลอร์ดทอมสันเสียชีวิตลง ทายาทก็ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นคนไทยเดิม

ฟอว์เซ็ตนั้นแม้จะไม่มีความขัดแย้งที่ปรากฏอย่างชัดเจนกับเท่ห์ แต่ก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับวิธีการทำงานของเท่ห์ที่ไม่ทำอะไรที่จะเเป็นการปรับปรุงบางกอกโพสต์ให้ดีขึ้น

ในขณะที่คู่แข่งอย่างเดอะ เนชั่น กำลังไล่กวดมาติดๆ พื้นฐานการเเป็นนักหนังสือพิมพ์มาก่อนของเขาทำให้เขารู้ว่าถ้าขืนบางกอกโพสต์ยังอยู่ในมือของเท่ห์ต่อไป

ตำแหน่งผู้นำต้องหลุดไปอยู่กับคู่แข่งในไม่ช้าแน่ ยิ่งเมื่อทาง กอง บ.ก.แสดงปฏิกิริยาไม่ยอมรับเท่ห์อย่างเปิดเผยก็เป็นเสมือนสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้ว

การนำปรัชญาทวีเข้ามาก็เเป็นส่วนหนึ่งที่เขาเเป็นผู้ริเริ่มด้วย ก่อนหน้านั้นเคยมีการดึง อลัน ดอว์สัน นักข่าวชาวอเมริกันและรอน คิด ชาวอังกฤษเข้ามาเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ

เพื่อหวังจะลดบทบาทของเท่ห์ แต่ทั้งสองคนก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะเท่ห์ไม่มอบหมายงานอะไรให้ทำเลย เดือนกรกฎาคม 2531 ฟอว์เซ็ทเกษียณจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ คนที่มาแทนคือ ไนเจล

โอกิ้น ซึ่งเชื่อกันว่ามีความสัมพันธ์กับฟอว์เซ็ทมาก่อนในระดับหนึ่ง ตัวฟอว์เซ็ทเองนั้นเข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ

ถึงแม้จะลดบทบาทในด้านการบริหารงานประจำวันลงไปแล้วแต่ฟอว์เซ็ทก็ยังคงเป็นผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริง เขายังเป็นผู้ถือใบอนุญาตเเป็นผู้พิมพ์ผู้โฆษณาตามกฎหมายอยู่

และแม้จะมีหุ้นอยู่ไม่ถึง 1% แต่ฟอว์เซ็ทเเป็นที่ยอมรับของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งในแง่ความสามารถในการประสานธุรกิจเข้ากับวิชาชีพหนังสือพิมพ์ และที่สำคัญคือ

ฟอว์เซ็ทโอนอ่อนผ่อนตามผู้ถือหุ้นเสมอในกรณีที่ผู้ถือหุ้นต้องการให้บางกอกโพสต์งดเสนอข่าวบางข่าวที่กระทบต่อธุรกิจของผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น

การเสนอข่าวเรื่องการประมูลท่าเรือแหลมฉบังที่กลุ่มอิตัลไทย ของหมอชัยยุทธ กรรณสูต ผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งได้งานไปทั้งๆ ที่เสนอราคาสูงกว่ากลุ่มฮุนได จากเกาหลีใต้

ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่ามีลับลมคมในระหว่างหมอชัยยุทธกับการท่าเรือฯ บางกอกโพสต์หลุดข่าวนี้ออกไป ทำให้หมอชัยยุทธโกรธมาก ถึงกับต่อว่าต่อขานกับตัวฟอว์เซ็ท

"ฟอว์เซ็ทบอกมาทาง กอง บ.ก.ว่าทีหลังต้องระมัดระวังการเสนอข่าวที่จะกระทบต่อผู้ถือหุ้นด้วย" นักข่าวบางกอกโพสต์คนหนึ่งเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" และคำเตือนของฟอว์เซ็ท

ก็ได้กลายเเป็นกฎที่ไม่ได้ประกาศแต่นักข่าวโพสต์ทุกคนจะต้องยึดถือ ในกรณีของผู้ถือหุ้นจิราธิวัฒน์ ฟอว์เซ็ทเคยสั่งให้ทีมงานข่าวธุรกิจ

และทีมข่าวหน้าส่งนักข่าวไปทำข่าวในเชิงประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งเเป็นสิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับเท่ห์เลย หลายๆ

ครั้งที่ฟอว์เซ็ทเคยเปรยกับผู้ไกล้ชิดว่า กำลังหาทางยุติสัญญาว่าจ้างที่ทำกับเท่ห์ให้เร็วที่สุด

โดยการเสนอเงินให้เท่ห์จำนวนหนึ่งและตำแหน่งใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานในกองบรรณาธิการ สัญญาว่าจ้างของเท่ห์นั้นมีกำหนดสิ้นสุดตอนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เท่ห์เองหวังว่าคงจะได้รับการต่อสัญญาออกไปอีก แต่ฟอว์เซ็ทเห็นว่า เวลาสำหรับเท่ห์ในตำแหน่งบรรณาธิการได้หมดลงแล้ว "เราคิดว่าตอนนี้เเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเปลี่ยนตัวบรรณาธิการ

ให้คุณเท่ห์รับผิดชอบน้อยลง เพราะอายุมากแล้ว มันเป็นเวลาที่เขาควรจะเกษียณจากงานที่ต้องรับผิดชอบเต็มเวลาแล้วไปทำหน้าที่ปรึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับองค์กรได้มากกว่า" ไนเจล

โอกิ้น เปิดเผยเหตุผลการไม่ต่ออายุการเเป็นบรรณาธิการของเท่ห์กับ "ผู้จัดการ" แต่เท่ห์ไม่ได้คิดเช่นนั้น เขายังต้องการอยู่ในตำแหน่งเดิมอยู่ และอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

เท่ห์ยื่นใบลาออกจากบางกอกโพสต์เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2532 ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า "ผมต้องการเเป็นอิสระ" ท่ามกลางความประหลาดใจของคนในบางกอกโพสต์และคนในวงการหนังสือพิมพ์

"เราเสียใจมากที่เขาจากไป และเสียใจเป็นพิเศษเมื่อเขาไปร่วมกับคู่แข่งของเราคือ เดอะ เนชั่น" โอกิ้น พูดถึงความรู้สึกของตัวเองหลังจากที่ทราบแน่ชัดว่าเท่ห์ลาออกไปอยู่กับเนชั่นแน่

ไม่มีใครรู้ว่าเขาและคนอื่นๆ ในบางกอกโพสต์รวมทั้งฟอว์เซ็ทรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หรือเปล่า "ไปก็ดีสิ เราก็ดีใจไปเท่านั้น คุณเท่ห์อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว"

นักข่าวคนหนึ่งของบางกอกโพสต์คนหนึ่งพูดออกมาเช่นนี้จริงๆ เช่นเดียวกับคำพูดของโอกิ้นที่ว่า การจากไปของเท่ห์ ไม่มีผลอะไรต่อบางกอกโพสต์เลย การไปอยู่กับเนชั่น เป็นเพียงแค่ Big

Surprise เท่านั้น กับการที่เท่ห์ตัดสินใจไปอยู่กับเครือเนชั่นนั้น ผู้สันทัดกรณีท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า

เท่ห์กำลังไปด้วยอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มีใครที่บางกอกโพสต์ให้ความสำคัญกับเขาอีกต่อไป ก็เลยแก้เผ็ดด้วยการวิ่งเข้าไปหาเนชั่นเสียเลย

นักจิตวิเคราะห์ละแวกถนนพระอาทิตย์ท่านหนึ่ง อธิบายกรณีนี้ตามความถนัดของตนว่า การเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์นั้นก็เหมือนการมีหัวโขนครอบอยู่บนศีรษะ

ไปที่ไหนก็มีคนเคารพยกย่องให้ความสำคัญกับหัวโขนที่สวมอยู่ ยิ่งหัวโขนใบใหญ่เท่าไร ความเคารพนับถือที่แสดงออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น นานๆ

เข้าก็กลายเเป็นความเคยชินและหลงไปกับหัวโขนใบนั้น ต่อเมื่อถึงเวลาที่จะต้องลงจากเวที ถอดหัวโขนออกก็เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ และยอมรับไม่ได้ที่จะต้องอยู่โดยปราศจากหัวโขน

นักหนังสือพิมพ์บางคนแก้ปัญหานี้ด้วยการหาหัวโขนใบใหม่มาสวมใส่แทน บรรยายรูป 1. เท่ห์ จงคดีกิจ อดีตบรรณาธิการบริหารบางกอกโพสต์ที่ย้ายค่ายมาอยู่กับคู่แข่งเครือเนชั่น

ในฐานะบรรณาธิการอาวุโส ไม่มีใครในบางกอกโพสต์เสียใจกับการจากไปของเขา 2. เอียน เจมส์ ฟอว์เซ็ท กรรมการผู้จัดการคนก่อนของบางกอกโพสต์

ตอนนี้อยู่ในฐานะที่ปรึกษาของคณะกรรมการของบางกอกโพสต์ เป็นคนที่เชื่อกันว่าทำให้เท่ห์ต้องทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน 3. ดร.ปรัชญาทวี ตะเวทิกุล รองอธิบดีกรมสารนิเทศ

กระทรวงการต่างประเทศ เขาเคยลาออกจากตำแหน่งนี้มาครั้งหนึ่งเมื่อกลางปี 2530 เพื่อไปรับตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการของบางกอกโพสต์

ก่อนที่จะออกมาอย่างเจ็บปวดและขมขื่นกับการกระทำของเท่ห์ จงคดีกิจ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us