Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 กรกฎาคม 2548
ฝรั่งทิ้งหุ้นไทยดิ่ง 21 จุด             
 


   
search resources

Stock Exchange




หุ้นไทย-ทั่วโลกดิ่งหลังน้ำมันพุ่ง 61 เหรียญ ตลาดหุ้นไทยเจอ 2 เด้ง ปัจจัย "เศรษฐกิจตกต่ำ-ปิคนิค" ป่วนฉุดดัชนีรูด 3.27% หนักกว่าฮ่องกง-โตเกียว วงในชี้ต่างชาติเห็นบทวิเคราะห์ ซีแอลเอสเอ- เอบีเอ็นฯ ชิงทิ้งหุ้นก่อนหน้า 4-5 วันแล้ว "สมคิด" เตือนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก โต้ 2 โบรกฯ ทำนายเศรษฐกิจไทยเวอร์เกินไป เงินบาททำสถิติอ่อนค่ารอบ 10 เดือน เจพี (ไทย) แนะลอยตัวน้ำมัน-ก๊าซหุงต้ม ล่าสุดแบงก์กรุงศรีฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทอีก 0.50%

ภาวะการลงทุนวานนี้ (7 ก.ค.) เปิดตลาดดัชนีหุ้นไทยลดลงทันที โดยมีแรงขายออกมาในหุ้นทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดใหญ่ เช่น หุ้นปตท. (PTT), ธ.กรุงเทพ (BBL), หุ้นปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นต้น หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่ง สูงแตะ 61 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลค่าเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบถ้วนหน้า

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยในประเทศซ้ำเติม จากกรณีที่สำนักวิจัยการตลาดภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของธนาคารเครดิตลียองแนส์ (ซีแอลเอสเอ) ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ระดับ 3.5% และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอบีเอ็น แอมโร ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยเหลือเพียง 2.8% อีกทั้งยังมีปัญหาหุ้นปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) มีปัญหาการชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน (B/E) ดัชนีถึงกับรูดแตะระดับ 630 จุด เมื่อเวลา 16.22 น. ก่อนจะดิ่งลงไปต่ำสุด 637.92 จุด และขยับมาปิดที่ 638.31 จุดลดลง 21.60 จุด หรือ 3.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 23,827.09 ล้านบาท

ซึ่งถือว่าดัชนีปรับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน (11 พ.ย. 47 ดัชนีปิดที่ 627.34 จุด)

นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 5 จำนวน 1,808.84 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,742.28 ล้านบาทและนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 66.56 ล้านบาท

นายวิเชฐ ตันติวานิช ผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอ กล่าวว่า เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเกิดความกังวลเกี่ยวกับ GDP ประเทศ หลังจากที่บริษัทหลักทรัพย์ เอบีเอ็น แอมโร ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับอัตราการเติบโตของ GDP โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับ 2.8% เท่านั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับ ดังกล่าวอย่างที่บริษัทหลักทรัพย์แห่งนั้นออกบทวิเคราะห์

ทั้งนี้ แรงขายออกส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารส่งผลให้ดัชนีปรับลดลงอย่างหนัก

"นักลงทุนต่างชาติจะดูข้อมูลจากสื่อต่างชาติที่นำเสนอ การที่ข่าวในทางไม่ดีกับตลาดหุ้นออกไปก็ทำให้ต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน" นายวิเชฐกล่าว

อย่างไรก็ตาม วิธีการคำนวณอัตราการเติบโตของ GDP จะสามารถคำนวณได้ 2 วิธี คือวิธีแรกการคำนวณจากสถิติในอดีต และวิธีที่สองซึ่งเป็นวิธีที่รัฐบาลชุดนี้ใช้คือการกำหนดอัตราการเติบโตที่เหมาะสม ก่อนจะหาปัจจัยเพื่อมาเร่งและกระตุ้นเพื่อให้อัตราการเติบโตปรับขึ้นไปในระดับที่ต้องการ ซึ่งแม้ว่าล่าสุดจะมีการประเมินในระดับประมาณ 5% หรือต่ำกว่าแต่ระดับดังกล่าวก็ยังถือว่าเป็นที่น่าพอใจ

"ตัวเลข 2.8% ของการคาดการณ์ GDP ปีนี้ผมว่าไม่น่าจะเป็นจริง รัฐบาลนี้คงยอมรับไม่ได้" นายวิเชฐกล่าว

สำหรับปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่เข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นทั้งใน SET และ mai ในฐานะผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอได้มีการสอบถามเกี่ยวกับผลกระทบเรื่องดังกล่าวที่จะเกิดกับผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ ได้คำตอบว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อผลดำเนินงานของบริษัทแต่คงไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทมีการจัดการเกี่ยวกับปัจจัยเรื่องดังกล่าวไว้บ้างแล้ว

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาลบริษัท ได้มีการเรียกประชุมผู้บริหารเพื่อกำชับเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีงบการเงินให้มีความถูกต้องและมีความโปร่งใส สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาการสร้างราคาหรือการปั่นหุ้น ในส่วนตลาดเอ็มเอไอเรื่องดังกล่าวคงเกิดขึ้นยาก

ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่น่าจะมีการเตรียมแผนเพื่อรองรับกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับต้นทุนเรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอยู่แล้ว

"ผมอยากเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงที่ข่าวทั้งดีและร้ายเข้ามามีผลต่อบริษัท หลายครั้งที่นักลงทุนเสียโอกาสเนื่องจากใช้ข่าวในการตัดสินใจมากกว่าใช้ข้อมูลเอกสาร นักลงทุนควรรอความชัดเจนและควรรอดูผลที่จะเกิดขึ้นก่อนจะเลือกลงทุน" ผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอกล่าว

ฝรั่งอินไซด์ทิ้งหุ้น 5 วันซ้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนวานนี้นอกจากกระแสข่าวความกังวลด้านเศรษฐกิจไทยแล้วตามห้องค้าโบรกเกอร์ยังเต็มไปด้วยกระแสข่าวลือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นทรูคอร์ปอเรชั่น (TRUE) ซึ่งมีข่าวลือว่าจะมีการเพิ่มทุนนำเงินไปอุ้มบริษัทในเครือ ซึ่งบริษัทก็ได้ปฏิเสธข่าวว่าไม่จริง มีเพียงการออกใบสำคัญแสดงสิทธิให้กับกรรมการและพนักงานบริษัทฯ และบริษัทในเครือ

ส่วนหุ้นชินแซทเทิลไลท์ (SATTEL) มีข่าวพบสิ่งผิดปกติจากฐานยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ และบริษัทคาดใช้เวลาไม่นานในการตรวจสอบสถานการณ์การลงทุนจึงเต็มไปด้วยความปั่นป่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก

นางสาวทัศมน วิทยารักษ์สรรค์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนี้พบว่านักลงทุนต่างประเทศยังซื้อสุทธิประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงเชื่อว่านักลงทุนยังมีโอกาสที่จะเทขายได้อีก ถ้านักลงทุนต่างประเทศเห็นว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยคาดว่าดัชนียังมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้อีกแต่ไม่มาก โดยมีแนวรับที่ 620 จุด

แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า เป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยออกมาตลอด 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศได้รับรู้ข้อมูลบทวิเคราะห์การประเมินเศรษฐกิจไทยจะมีจีดีพีปีนี้ 2.8% มาก่อนที่เอกสารดังกล่าวจะเผยแพร่ต่อสาธารณชนวานนี้ "นักลงทุนต่างประเทศได้อินไซด์มาก่อนแล้วจึงทยอยขายหุ้นออกมา เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสม"

แหล่งข่าวกล่าวว่า เมื่อเอกสารเผยแพร่ออกมาวานนี้นักลงทุนต่างประเทศจึงเทขายหุ้นอย่างหนัก ประกอบกับมีปัจจัยเรื่องปัญหาบริษัทปิคนิคด้วยจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยถึงกับซวนเซ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นต่างประเทศที่ทรุดตัวลงจากพิษราคาน้ำมันพุ่งและค่าเงินอ่อน ตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ 11,590.14 จุด ลดลง 0.1% ส่วนตลาดหุ้น ฮั่งเส็ง ปิดที่ 14,030.81 จุด ลดลง 0.84%

เจพีฯ แนะลอยตัวน้ำมัน

นายอาจดนัย สุจริตกุล ประธาน บล.เจ.พี. มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ราคาน้ำมันถือว่าเป็นสาเหตุหลัก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ การที่จะทำให้ราคาน้ำมันสะท้อนความจริงรัฐบาลไทยต้องปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม เพื่อให้ประชาชนประหยัดการใช้พลังงานลง สำหรับตลาดหุ้นไทยปีนี้ถือว่าไม่น่าลงทุนเนื่องจากไม่มีปัจจัยหนุนเลย และได้รับผลกระทบจากปัจจัยในประเทศมากกว่าปัจจัยนอกประเทศ

ซึ่งคงต้องมีการเเก้ไขและสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยลบที่เกิดขึ้นและควบคุมไม่ให้กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน 2-3 หมื่นล้านบาท แต่ดัชนีไม่ไปไหน โดยที่ผ่านมามีการขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อย

ขณะที่นักลงทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ ในช่วงที่ผ่านมา แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนในลักษณะดังกล่าวกลับหายไปจากตลาด ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากความผันผวนของตลาดหุ้นไทยเริ่มน้อยลงประกอบกับปริมาณการซื้อขายก็ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ดัชนีสิ้นปีเชื่อว่าจะอยู่ในระดับ 730-740 จุด

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า การที่นักวิเคราะห์บางแห่งออกบทวิเคราะห์โดยคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปีนี้ที่ 2.8% เป็นไปตามการคาดการณ์เฉพาะบุคคล โดยเชื่อว่าอาจจะมีการปรับขึ้นได้หากราคาน้ำมันปรับลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าต่างประเทศยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่คงจะไม่มีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังกล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปิดในวานนี้ (7 ก.ค.) ที่ลบ 21 จุดว่า อย่าไปตกใจหรือตื่นเต้นมากนักเพราะดัชนีที่ปิดวันนี้เพราะตัวเลขจากหุ้นปิกนิกตัวเดียว ขณะที่โบรกเกอร์ต่างประเทศ 2 รายประเมินเศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 3% นั้นถือว่าการประเมินที่โอเวอร์เกินไป

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทของไทยวานนี้ (7 ก.ค.) เปิดตลาดที่ระดับ 41.62-41.64 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปิดตลาดที่ระดับ 41.69-41.71 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงระหว่างวัน และอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 41.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ต่ำสุด ตามราคาเปิด คือ 41.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การที่เงินสกุลบาทอ่อนค่าลงมีสาเหตุมาจากนักลงทุนส่วนใหญ่เทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และนำเงินบาทไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ บวกกับภาวะเศรษฐกิจของไทยไม่ได้สนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงแตะที่ระดับกว่า 42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

กรุงศรีฯขึ้นดอกเบี้ย 50 สตางค์

ด้านนางชาลอต โทณวณิก ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.5% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีแบบมีระยะเวลา (เอ็มแอลอาร์) ปรับขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 5.75% เป็น 6.25% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าเบิกเกินบัญชี (เอ็มโออาร์) จาก 6.00% เป็น 6.50% และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีแบบ มีระยะเวลา (เอ็มอาร์อาร์) ปัจจุบันอยู่ที่ 6.25% เป็น 6.75% มีผลตั้งแต่วันนี้ (8 ก.ค.) เป็นต้นไป

"การปรับดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งนี้ ทำให้ธนาคารกรุงศรีฯ มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ โดยมีสาเหตุหลักจากธนาคารได้ ปรับดอกเบี้ยเงินฝากมาแล้ว 2 ครั้งในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยเงินกู้ตาม บวกกับธนาคารมองว่าครึ่งปี หลังแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us