คิดวิเคราะห์ที่เชื่อว่า "ไม่เหมาะสม" กับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังค้างคาใจผู้คนอยู่จนวันนี้
อย่างไรก็ตาม "เนวิน ชิดชอบ" ยังพอมีเวลาและโอกาสพิสูจน์ตัวเอง
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปทบทวนจังหวะก้าวของเขา ก่อนฝ่า "ด่าน 18 อรหันต์"
ของยุทธจักรการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาด้วยแล้ว เขาได้ใช้กำลังภายในและกำลังภายนอก
ตลอดจนหมากเกมส์อย่างสูงทีเดียว
จึงประสบความสำเร็จถึงขั้นสุดยอดปรารถนา "เนวิน ชิดชอบ" เป็นส.ส.หนุ่มที่ดูฉลาดเหลือร้าย
พิษสงรอบตัว จัดจ้านเหลือกำลัง เป็นแกนกำลังสำคัญในการรวมกลุ่มปีกเทิดไท
ในพรรคชาติไทย
กระทั่งเข้ามาขยายวงกว้างเกินพลัง "กลุ่ม 16" ธรรมดา ช่วงการจัดตั้งรัฐบาลและสรรหาตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรคชาติไทย
เขาให้ "ชัย ชิดชอบ" ผู้เป็นบิดาออกมาแถลงข่าวในขณะนั้นว่า
ได้เสนอรายชื่อของกลุ่มเทิดไท 7 คนให้กับณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังมีรายชื่อ จำนง โพธิสาโร, ชัชวาล ชมภูแดง, เรืองวิทย์ ลิกค์ เข้าไปอยู่ในแนวร่วม
พร้อมประกาศว่า เนวิน ชิดชอบ
จะไม่รับตำแหน่งใด ๆ เพราะอายุน้อยอ่อนอาวุโสกว่าเพื่อน การออกข่าวเช่นนั้นทำให้ส.ส.กลุ่มเทิดไท
หันมาเกาะกลุ่มกับสุชาติและเนวินมากพอที่จะสร้างอำนาจต่อรองมากมาย
โดยเฉพาะวินาทีสุดท้ายก่อนการตัดสินใจของบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีจะตัดสินชี้ขาด
พลังของสุชาติและเนวิน จึงนับว่ามากพอที่จะเผชิญหน้ากับกลุ่มของเสนาะ เทียนทอง
เลขาธิการพรรคชาติไทย ที่มีการประเมินล่วงหน้าว่า ส.ส.ในปีกเทิดไทไม่มากพอที่จะส่งคนขึ้นมากินตำแหน่งมท.1
ด้วยเหตุนี้ก็คงจะต้องมีการ "แลกกระทรวง" แทน นั่นก็คือ มท.1
กลับมาอยู่โควตาของชาติไทย ส่วนเทิดไทก็จะได้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์ไปจัดสรรอำนาจกันเองเอง
และแน่นอนที่หากโควตา มท.1 มาอยู่ในปีกชาติไทย เสนาะ เทียนทอง
ในฐานะเลขาธิการพรรค ก็มีความเหมาะสมทุกประการที่จะขึ้นนั่งเก้าอี้ เพราะเคยเป็นมท.2
มาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เสนาะ เทียนทอง
พยายามอยู่เหมือนกันที่จะเข้าไปสร้างบารมีในกลุ่มเทิดไทในช่วงหลัง ๆ เนื่องเพราะได้ข้อมูลมาว่าณรงค์
วงศ์วรรณ ยืนยันไม่เปลี่ยนข้อตกลงเดิม คือ หลังจากที่บรรหาร ศิลปอาชา ได้รับโปรดเกล้าฯ
เป็นนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วว่า มท.1 ยังอยู่ในโควตาของกลุ่มเทิดไท วิธีที่จะขึ้น
มท.1 ได้นั้น นั่นหมายถึงการสร้างความยอมรับให้กับกลุ่มในปีกเทิดไทให้มาซูฮกให้ได้เท่านั้น
ทั้งนี้ ไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะปีกเทิดไทภายใต้ "สุชาติ-เนวิน" อหังการเกินกว่าที่ได้ประเมินกันเอาไว้
ไม่ผิดอะไรกับคลื่นลูกใหม่ที่พร้อมปะทะกับคลื่นลูกเก่าอย่างเสนาะ เทียนทอง
ว่ากันว่าความพยายามของเสนาะ เทียนทอง
เพียงแค่ว่าจะจ่ายค่าอาหารให้กับกลุ่มเทิดไทในขณะที่เผอิญนั่งรับประทานอาหารอยู่ในภัตราคารเดียวกัน
ก็ยังไม่สำเร็จ โดยที่ "เนวิน ชิดชอบ" ควักเงินออกมาเป็นปึกมาโชว์ผู้สื่อข่าว
เพื่อแสดงว่าเขาก็ใหญ่พอที่จะผงาดขึ้นสู่แนวหน้าขององค์การได้แล้ว แล้ว
"สุชาติ-เนวิน" ยึดหัวหาดกลุ่มณรงค์ วงศ์วรรณเอาไว้ได้ และเสนาะ
เทียนทอง ต้องถอยร่นในวินาทีสุดท้ายสละตำแหน่งมท.1
ไปนั่งเกาอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อบรรหาร ศิลปอาชา นั่งควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ส่วนสุชาติยอมรับตำแหน่ง มท.2 ส่วนณรงค์
วงศ์วรรณรอคอยโอกาสแก้ข้อกล่าวหาพัวพันค้ายาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งมีชื่อยู่ใน
"บัญชีดำ" ของสหรัฐอเมริกา ที่สุด "เนวิน"
แกนนำกลุ่มเทิดไทก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังไปอย่างพลิกความคาดหมาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อยู่ที่หมากเกมทางการเมืองภายในพรรคชาติไทยของกลุ่ม 16 นั่นเอง
กลุ่ม16
กับความโดดเด่นของ "เนวิน" ต้นปี 2536 เนวินสร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยการตรวจสอบการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยุครัฐบาลชวน
หลีกภัย กรณี"เสี่ยสอง" ซึ่งบทบาทตรงนี้ทำให้กลุ่มการเมืองที่ชื่อ
"กลุ่ม 16" เริ่มมีบทบาทมากขึ้น (หลังจากรวมตัวกันตั้งเมื่อ 16
พฤศจิกายน 2535 โดยมมีเนวิน ชิดชอบ ร่วมกับว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี,
จำลอง ครุฑขุนทด ส.ส.นครราชสีมา, ธานี ยี่สาร
ส.ส.เพชรบุรี, วราเทพ รัตนากร ส.ส.กำแพงเพชร โดยมีสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่พรรคชาติพัฒนาเป็นหัวหน้ากลุ่ม)
รวมทั้งกรณีบ้านถูกปาระเบิด ซึ่งกลุ่ม 16 ในปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิก 20
คนคือ 1. สุชาติ ตันเจริญ ชาติไทย ฉะเชิงเทรา 2. อิทธิ ศิริลัทธยากร ชาติพัฒนา
ฉะเชิงเทรา 3. สนทยา คุณปลื้ม ชาติไทย ชลบุรี 4. วิทยา คุณปลื้ม ชาติไทย
ชลบุรี 5. ยิ่งยศ อรุณเวสสะเศรษฐ ชาติไทย
ระยอง 6. ประวัฒน์ อุตตะโมต ชาติพัฒนา จันทบุรี 7. ธานี ยี่สาร ชาติไทย
เพชรบุรี 8. สรอรรถ กลิ่นประทุม ชาติไทย ราชบุรี 9. ชูชาติ หาญสวัสดิ์ ชาติไทย
บุรีรัมย์ 10. เนวิน ชิดชอบ ชาติไทย บุรีรัมย์ 11.
ทรงศักดิ์ ทองศรี ชาติไทย บุรีรัมย์ 12. จำลอง ครุฑขุนทด ชาติพัฒนา นครราชสีมา
13. ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวี ชาติพัฒนา นครราชสีมา 14. วราเทพ รัตนากร
ชาติไทย กำแพงเพชร 15. บรรจง
โฆษิตจิรนันท์ ชาติไทย ร้อยเอ็ด(สอบตก) 16. พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ นำไทย
นครราชสีมา 17. เกษม รุ่งธนเกียรติ ชาติไทย สุรินทร์ 18. อุดมเดช รัตนเสถียร
พลังธรรม นนทบุรี 19. เฉลิมชัย
อุฬารกุล ความหวังใหม่ สกลนคร(สอบตก) 20. ร้อยตรีหญิงพนิดา เกษมมงคล ชาติไทย
ฉะเชิงเทรา(สอบตก)
และคนที่มีบทบาทเด่นชัดของกลุ่ม 16 ตลอดช่วงเวลากว่า 2ปี ที่ก่อตั้งมามีเนวิน
ชิด ชอบ อยู่แถวหน้าตลอด นอกจากนี้ยังพบว่าการสร้างภาพ คือ เป็นจุดเด่นของส.ส.กลุ่ม
16 ไม่ว่าจะเป็นว่าที่ร้อยตรี
ไพโรจน์ สุวรรณฉวี หรือเนวิน ชิดชอบ บุคคลเหล่านี้สามารถ "น้ำตาสั่งได้"
อย่างเป็นธรรมชาติต่อหน้ากล้องทีวีและผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์
ภาพว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ที่นำผ้าแดงผูกคอพร้อมกับร้องว่าถูกกลั่นแกล้งและระดมพลมาให้
กำลังใจที่หน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีรวมทั่งการเข้าหาหลวงพ่อคูณเพื่อขอกำลังใจ
"ชายเจ้าน้ำตา"
ดูจะเหมาะสมกับเนวิน ชิดชอบเป็นพิเศษ เพราะเมื่อคราวแพ้เลือกตั้ง 2535/2
เขานั่งร้องไห้โฮเมื่อรู้ว่าพ่ายแพ้ท่ามกลางผู้หลักผู้ใหญ่ของจังหวัดนับไม่ถ้วน
ภาพนี้เนวินลืมไม่ลงและกล่าวตามสไตล์นักการเมืองว่า "ในปี 2535 เราเจอกระแสพวกมารอย่างหนัก
เราลงพรรคชาติไทย ปรากฎว่าช่วงรวม คะแนนประมาณสองทุ่ม
มีการรวมคะแนนผิดโดยธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้เห็นว่าผมสอบตาก และให้ธนาคารกรุงไทยผลปรากฎว่าผมสอบได้
เท่าที่ผมเช็คดู
คนแก่คนเฒ่าเกือบทั้งพื้นที่นอนร้องไห้เมื่อข่าวออกไปว่าผมสอบตก นั่นคือความประทับใจและแสดงว่าเขารักเราจริงและสิ่งสะท้อนอีกอย่างคือ
วันที่ศาลอ่านคำพิพากษา
ประชาชนคนเป็นหมื่นที่เราเองไม่คิดว่าเขาจะมากัน" แต่เหตุการณ์บ้านของเขาถูกปาระเบิดที่หมู่บ้านพงษ์เพชร
เรียกความเห็นใจจากประชาชน ได้ไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อเขาออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมและแสดงความเจ็บปวดในสีหน้าราวกับไม่ได้รับความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ยณะที่มีกระแสข่าวลือที่ออกมาว่าเขาปาระเบิดบ้านตัวเอง
"หลังจากโดนปาระเบิดที่บ้าน ต้องให้ลูกชายหยุดเรียนอนุบาลเพราะเห็นใจโรงเรียนเขาซึ่ง
ช่วงนั้นมีปัญหาไม่สบายใจมีคนมาแวะเวียน เราก็เป็นห่วงลูกและผู้ปกครองเด็กอื่นเขาก็กลัว
หากเกิดมีการลักพาตัวเด็กผิดตัวกลายเป็นลูกคนอื่นไม่ใช่ลูกผม ก็เลยต้องตัดปัญหาเพื่อให้ทุกอย่างเคลียร์และยุติก่อนค่อยว่ากันใหม่"
เนวินเล่าให้ฟัง
คนอีสานถือว่าฝ้ายผูกแขนเป็นสัญลักษณ์ของบุคคลอันเป็นที่รักและเคารพให้แก่กัน
ยิ่งมี มาก ยิ่งถือว่ามีคนรักมาก มีเรื่องเล่าแบบติดตลกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่า
ด้ายผูกแขนของเนวินที่เห็นนั้นมีการออกแบบ มาก่อน โดยติดซิบไว้ที่ใต้ท้องแบนเพื่อสะดวกแก่การปลดเมื่อกลับถึงบ้าน
ชาวบ้านนอกเขตเทศบาลจะไม่เคยเห็นเนวินนั่งงรถเบนซ์ 500SEL
เลขทะเบียน6ฐ1545 ซึ่ง
เนวินใช้เป็นรถประจำตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หรือใส่เสื้อผ้าที่ทันสมัย
เพราะทุกครั้งที่ลงพื้นที่เนวินจะใส่เสื้อม่อฮ่อมและพาดบ่าด้วยผ้าขาวม้าเขมรและนั่งรถปิคอัพ
อดีต-ปัจจุบัน
เสนาบดีใหม่หมาด "ไอ้เป็ด" หรือ "ไอ้ขันปากบาน" คือสมญาที่เพื่อนพ้องใช้เรียกขานฯพณฯหัวเจ้าท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนามเนวิน
ชิดชอบ เมื่อครั้งเยาว์วัย ใครเลยจะนึกว่า "ไอ้เป็ด"
ในวันนั้นจะเป็นใหญ่เป็นโตในวันนี้ได้ เพราะบรรดาเพื่อนๆต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าลูกชายกำนันชัย
ชิดชอบ ส.ส.คนดังแห่งบุรีรัมย์ไม่มีวี่แววว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีเลยแม้แต่น้อย
ชื่อ
"เนวิน"ถูกตั้งขึ้นตามชื่อนายพลเนวินเผด็จการทหารปกครองพม่าซึ่งกำนันชัยประทับใจมาก
เมื่อเด็กน้อยเนวินลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2501 ซึ่งถือว่าลูกคนกลางจำนวน
6 คนที่กำนันชัยมีชาย 5
หญิง 1 ขณะนั้นฐานะครอบคร้วชิดชอบยังยากจน ขณะที่ย้ายมาตั้งรกรากที่บุรีรัมย์ในปี
2505 และสามารถสร้างฐานะจากธรุกิจโรงโม่หินได้ตั้งแต่ปี 2512 หลังจากที่ชัย
ชิดชิบได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.
บุรีรัมย์ ตอนนั้นเนวินเรียนอยู่ป.7 เนวิน ชิดชอยจบชั้น ป.7 จากโรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคมก่อนที่จะเดินทางไปเรียนต่อม.ศ.1-5
ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ
เนวินชอบเล่นฟุตบอลและทำกิจกรรมอยู่ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติกับรุ่นพี่ธรรมศาสตร์ที่ประท้วงกรณีทุ่งใหญ่นเรศวร
เนวินเคยเป็นเด็กวัดอาศัยวัดสามหลื้มแถวจักรวรรด์อยู่ปีหนึ่ง
จากนั้นก็ถูกส่งไปอยู่หอพักแพวเทวศร์หนึ่งปี จากนั้นก็ถูกส่งไปอยู่โรงแรมสหายสหกิจแถวหัวลำโพงเป็นปี
จากนั้นกลับคืนบุรีรัมย์อีกครั้ง
แต่ดูเหมือนว่าการศ฿กษาของเขาจะชะงักลงชั่วคราวเพราะทางบ้านมีปัญหาขาดคนดูแลธุรกิจในปี
2518 ขณะที่เมื่ออายุได้ 17-18 ปี และกำลังเรียนนิติศาสตร์รามคำแหง
ผู้เป็นพ่อนำเขาไปฝากฝังอยู่บ้านพล.ต.ต.ท. แสวง หงษ์นครซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรถึงสองปี
ซึ่งประสบการณ์ชีวิตระเหเร่ร่อนของเนวินในวัยรุ่นนั้นเจ้าตัวยังเล่าว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสกว่าพี่น้องคนอื่นๆ
สิ่งที่เขาทำก็คือการคลุกคลีตีโมงกับบรรดาตำรวจทั้งกินนอนรวมทั้งการตรวจจังซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจ
แต่เนวินก็ติดสอยห้อยตามเมื่อยามมีการจับกุมผู้ต้องหาเขาถูกสร้างภาพราวกับว่าเป็นตำรวจเสียเอง
ชีวิตในวัยรุ่นของเขาดูโลดโผน สมกับอิทธิพลที่เป็นลูกส.ส.จะพึงมีขณะนั้น
"สิงห์ทอง"
คือชื่อองค์กรที่เนวินกับเพื่อนๆวัยรุ่นร่วมกันตั้งขึ้นมา เพื่อความสะใจในการสำแดงพลังหนุ่ม
และท้าทายต่อสังคมช่วงนั้น "ผมมีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาก วันแรกที่ลงสมัครส.จ.
ผมมีเพื่อนเป็นกำนันทั้งหมด 10 กว่าตำบล เราเกราะกลุ่มกันในฐานะคนหนุ่มสาวมาตั้งแต่เด็ก
เรามีกลุ่มของเราตั้งขึ้นมาทำงานด้านการเมือง ใครลงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเราก็ลงไปช่วยกัน
เราทำโครงข่ายการเมืองในพื้นที่เพื่อรองรับสิ่งเหล่านี้ เราตกลงกันในกลุ่มว่า
เราจะรวมกันเหมือนปิระมิด วันนี้หากผมมีคุณสมบัติที่เหมาะสม
ผมก็ควรจะอยู่ตรงยอดแต่วันใดคนในกลุ่มมีคุณสมบัติพร้อมกว่าผม ผมก็พร้อมจะลงมาเป็นฐาน
นั่นคือข้อตกลง"เนวินเล่าให้ฟัง จากวัยรุ่นเลือดร้อน มาเดินรอยตาม"กำนันยัย"
จนกระทั่งอายุได้ 28 ปี
เนวินก้าวเข้าสู่ถนนการเมืองตามรอยทางของผู้เป็นพ่อด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดบุรีรัมย์ในปี
2528 และประสบความสำเร็จได้เป็นส.จ. พร้อมกับทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งประธานส.จ.
ในสมัยแรกนั่นเอง ซึ่งมารดาของเขาเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่าบุตรชายเป็นประธานส.จ.ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทยในขณะนั้น
"ตอนนั้นผมเป็นประธานสภาจังหวัดใหม่ๆเกิดภัยแล้งสามปีติดต่อกันระหว่างปี
2529-2531 ชาวบ้านอดอยากมาก ตอนนั้นรัฐบาลพลเอกเปรมฯ ผมเคยยื่นหนังสือขอให้ท่านช่วยเหลือเท่าที่ควร
ก็เลยมานั่งคิดกันในกลุ่มว่า เราควรนะทำอย่างไร ก็เลยประชุมกันแล้วจัดโครงการ
"ข้าวหนึ่งขัน ฉันช่วยเธอ"
โดยเรารวมกับพวกส.จ.และคนหนุ่มสาวเดินขอข้าวจากคนบุรีรัมย์ที่ไม่มีปัญหาภัยแล้ง"เนวินเล่าให้ฟัง
คนบุรีรัมย์มองว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เนวินประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่
เพราะบารมีของผู้เป็นพีอและส.ส.เงินถึง ขณะที่คุณละออง ชิดชอบ ผู้เป็นแม่บอกว่า
"ความจริงแล้วไม่อยากให้เล่นการเมือง" แต่กำนันชัยก็ทัดทานด้วยภาษาเขมรว่า
"โตวเยยเทอโอ๊ย"(จะพูดไปทำไม
)จึงไม่มีคำอธิบายว่าทำไม…? ก่อนที่กำนันชัย จะนำเนวินไปฝากเนื้อฝากตัวกับดร.อนุวรรต์
วัฒนพงษ์ศิริ เพื่อก้าวขึ้นสู่นักการเมืองระดับชาติ เพราะลำพังกำนันชัยเป็นส.ส.
แต่บารมียังไม่ถึงจุดนี้เองตำนาน "อากับหลาน"ได้เริ่มขึ้นเพราะดร.อนุวรรติ์เองก็เชื่อว่าเนวินจะเป็นผู้สานต่อเจตนารมณ์ทางการเมืองให้ตนได้
การเข้าสังกัด พรรคสหประชาธิปไตยของพ.อ.พล
เริงประเสริฐวิทย์ เป็นก้าวสำคัญทางการเมืองเพราะเนวินสามารถสอบผ่านในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี
2529 ปี 2531 เนวินลงสมัครในนามพรรคเทิดไทของณรงค์
วงศ์วรรณก็ประสบความสำเร็จเป็นส.ส.ติดต่อกันสามสมัยจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเนวินได้ถือโอกาสต่อเติมวิทยฐานะจากม.ศ.5
เป็นอนุปริญญาสาขาวิชาพัฒนาชุมชนภาคพิเศษ คือ
เข้าเรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ที่สถาบันราชภัฎบุรีรัมย์ เมื่อ ปี 2530 สาขาวิชาพัฒนาชุมชนนับว่าเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายองค์กรชุมชนให้กับเนวินอย่างมาก
เพาะมีเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนจบไปเป็นพัฒนากรที่เป็นฐานทางการเมืองในห้วงเวลาต่อมา
ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาที่เนวินเป็นนักศึกษาภาคกศ.บป.นั้น
ถือว่าเขาเป็นคนใจกว้างตามวิถีอุปถัมภ์แห่งนักการเมือง ใครเดือดร้อนเรื่องเงินเนวินก็จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ
ด้วยภาระทางการเมืองที่จะต้องทำหน้าที่ ส.ส.
การไม่เข้าเรียนจึงเป็นปกติที่อาจารย์รับทราบและเข้าใจ ทำให้การศึกษาของเขาไม่สู้จะราบรื่นนัก
เนวินต้องใช้เวลากว่า 2 ปี แลยังติด ร. ในวิชาการจัดการองค์กรท้องถิ่น
เพราะไม่ทำงานที่อาจารย์มอบหมาย เรื่อง "สื่อการประชุมสภาฯ" แม้ว่าจะเป็นงานที่ใกล้ตัวที่สุดก็ตามที
กว่าจะเรียนจบ เนวินต้องวิ่งเข้าๆออกๆ สถาบันราชภัฎฯนานพอควร จีงเป็นเรื่องสนุกปากว่า
"เรียน 2 วันได้ อนุปริญญา คือ วันสมัครกับวันรับปริญญา" ล่านสุดการศึกษาของเนวินอยู่ที่อนุปริญญาเป็นขั้นสูงสุด
แต่กำนันชัยผู้เป็นพ่อบอกว่า
เนวินกำลังทำการศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา โดยที่ไม่ยอมเปิดเผยว่า
เนวินจบปริญญาตรีจากสถาบันใดกันแน่ และปี 2535/1 เนวินย้ายมาลงสมัครในนามพรรคสามัคคีธรรม
และได้รับเลือกกระทั่งเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในวันที่
13 กันยายน 2535 เหตุการณ์ทางการเมืองช่วงนั้นทำให้พรรคสามัคคีธรรมยุบพรรคอดีตส.ส.
ส่วนใหญ่จึงมารวมกันอยู่พรรคชาติไทย เนวินเป็นอีกคนหนึ่งที่ย้ายสังกัดมาอยู่พรรคชาติไทย
และก็ได้เป็น ส.ส.บุรีรัมย์ ครั้งนั้นมีการฟ้องร้องคดีเลือกตั้งกับ พิชิต
ธีรัชตานนท์
จากพรรคประชาธิปัตย์และเนวินเป็นผู้ชนุคดีเลือกตั้งดังกล่าว ชีวิตรักและพ่อตากับเขื่อนสียัด
เนวินแต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกมีบุตรสองคน และแต่งงานครั้งที่สอลกัน "กรุณา
สุภา"
การแต่งงานอันยิ่งใหญ่ระหว่างเนวินชิดชอบกับกรุณา สุภา อาจดูเป็นละครฉากใหญ่ของสองหนุ่มสาวที่มีความเหมาะสม
เพราะฝ่ายชายคือส.ส. หนุ่มชื่อดัง
ขณะฝ่ายหญิงเป็นสาวนักเรียนนอกทายาทของ "คะแนน สุภา" พ่อเลี้ยงวงการก่อสร้างผู้ยิ่งใหญ่แห่งจังหวัดเชียงใหม่
แต่ขนาดธุรกิจยิ่งใหญ่สยายปีกครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งกรุณา
สุภายังได้ชื่อว่าเป็นญาติและสนิทสมกับณรงค์ วงศ์วรรณ ผู้ซึ่งเนวินนับถือ
คะแนน สุภา พ่อเขยของเนวินเป็นเจ้าของบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่
และบริษัทนี้เองที่ดึงเนวินเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่ยังไม่ตัดสิน นั่นคือคดี
"เขื่อนสียัด" นั่นเอง โครงการเขื่อนคลองสียัด ต.ท่าตะเกียบ กิ่งอ.ท่าตะเกียบ
จ.ฉะเชิงเทรา
เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำบางปะกง ตามนโยบายของรัฐบาล โดยใช้งบประมาณของกรมชลประทาน
เพื่อเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำและรองรับนโยบายของรัฐบาล
ที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่อำเภอสนามชัยเขต กรมชลประทานจึงกำหนดให้มีการประกวดราคาจ้างเหมางานเมื่อวันที่
22 มีนาคม 2538 จาก"รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง
กรณีการประมูลโครงการคลองสียัด" ของกรมตำรวจ ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์
"มติชน" วันที่ 18 ก.ค. 2538 สรุปว่า
ก่อนหน้าวันยื่นซองประมูลบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นได้เชิญบริษัทที่ซื้อซองไปทานข้าวที่โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่าและเพื่อเจรจาของานนี้
อีกทั้งเสนอผลประโยชน์อื่นตอบแทน โดยคะแนน สุภา
เป็นผู้จัดงานนี้ และลูกเขยคือเนวิน ชิดชอบ เป็นผู้จ่ายค่าอาหาร ในวันยื่นซองกรมชลประทานได้มีชายฉกรรจ์จำนวนมากแสดงท่าทีขัดขวางผู้ยื่นซองจากหลายบริษัท
โดยทำทีประกบดูซองประมูล
เป็นต้น โดยเฉพาะตัวแทนจากบริษัทไทยนิชิมัตสุ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นถือหุ้นใหญ่
ถึงกับลังเลที่จะลงจากรถ และได้แค่ไปยืนรอที่โรงอาหารเพราะหวั่นเกรงอันตราย
เพราะก่อนหน้าได้เคยมีผู้พยายามไปเจรจาและขู่ไม่ให้ร่วมประมูลมาแล้ว ปรากฏว่าบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นประมูลได้งานนี้ไปในราคา
1,226 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ 1,095
ล้านบาท ขณะที่มีข่าวว่าบริษัทไทยนิชิมัตสุจะยื่นเสนอราคาประมาณ 900 ล้านบาทเท่านั้น
หลังการยื่นซอง มีผู้พบนายเนวินอยู่ในบริเวณกรมชลประทาน ซึ่งในเวลาต่อมาเนวินก็รับว่า
จ่ายค่าอาหารที่โรงแรมเซ็นทรัลจริง เพราะเผอิญมีประชุมที่นั่นและพ่อตาลืมนำบัตรเครดิตไป
ตนจึงจ่ายแทน ส่วนที่กรมชลประทานนั้น เผอิญแวะไปรับพ่อตากลับบ้านหลังกินข้าวเที่ยวเท่านั้น
ต่อจากนั้นสื่อมวลชนรายงานว่าพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขณะนั้นและคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ก็พยายามจะจัดการกับเรื่องนี้ให้ได้
แต่ด้วย"กำลังภายใน" ประกอบกับบรรดาพยาน ผู้เสียหาย คือบริษัทรับเหมาต่างๆ
แม้แต่บริษัทไทยนิชิมัตสุก็ปฎิเสธที่จะให้ข้อมูลและยืนยันไม่ขอเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
คดีดังกล่าวกลายเป็น "มวยล้ม"
โดยเนวินยิ้มกริ่มสบายใจ ส่วนเขื่อนสียัดก็เตรียมเปิดประมูลใหม่ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ใครๆก็รู้ว่า งานนี้ "พ่อตาเนวิน" เขาจอง "อา-หลาน"
ความสัมพันธ์ที่ต้องสะบั้น วิถีการเมืองของเนวิน
ถูกวางอย่างเป็นระบบ เพราะส่วนตัวของเนวินเองเป็นคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สำเร็จสูงอยู่แล้วแต่เนวินเองก็ยังคงมือสองของบุรีรัมย์รองจากดร.อนุวรรติ์อยู่ดี
แม้บทบาททางการเมืองของเขาจะโดดเด่นปานใดก็ตามที ทั้งนี้ดร.อนุวรรติ์เองก็ไว้วางในเนวินและลูกทีมอีกคน
คือ ทรงศักดิ์ ทองศรี ด้วย
การให้เนวินและลูกทีมเป็นผู้คุมหัวคะแนนฐานของตนเพราะถือว่านี่คือ "อากับหลาน"
ผู้ที่จะสืบานการเมืองต่อจากตนและตนเองจะได้ฝากฝังลูกชายที่ ณ วันนี้อายุยังไม่ถึง
20 ปี
ให้เนวินเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทเหมือนที่ตนได้ทุ่มเทให้เนวิน แต่นั่นคือความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของดร.อนุวรรติ์
เพราะทันทีที่การเลือกตั้ง 2535/2 ผ่านไป ความแตกแยกอาหลานก็เกิดขึ้น
เมื่อลูกทีมก็โดดเดี่ยวหัวหน้าทีมที่ทั้งเก่าทั้งเก๋าอย่าง ดร.อนุวรรติ์
หัวคะแนนที่เคยมีก็หันไปจงรักภักดีเนวินแทน จนถึงขึ้นจะตั้งพรรคใหม่เองเมื่อปี
2537 ซื่อพรรคกิจเสรีประชาธิปไตย
แต่ก็ได้แค่จดทะเบียนเท่านั้น ขณะที่ ดร.อนุวรรติ์ กำลังตกต่ำ แต่เนวินกลับพุ่งกระฉูดด้วยบทบาทดาวสภาฯ
เมื่อคราวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันที่ 17-18 พฤษภาคม
เนวินเป็นขุนพลสภาที่ตรวจสอบการทำงานรัฐบาลเรื่อง ส.ป.ก.4-01 จนยังผลให้รัฐบาลชวน
หลีกภัย ประกาศยุบสภาฯ ขณะที่เนวินก็กลายเป็นดาวสภาฯ ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
คนในแวดวงการเมืองบุรีรัมย์แอบมองบทบาทของเนวินคราวนั้นว่า ผิดหูผิดตากับครั้งก่อนๆ
เพราะการพูดที่มีลูกล่อลูกชน มีจังหวะจะโคน เซือดเฉือนได้กินใจผู้ชม รวมทั้งการศึกษาข้อมูลอย่างเป็น
ระเบียบระบบ ทั้งนี้เพราะเนวิน ได้ลงทุนจ้างทีมงานศึกษาข้อมูล ให้ความรู้ในทุกเรื่องที่เขาจะต้องเกี่ยวข้อง
ถือว่าเป็นการวางแผนที่สมบูรณ์แบบและอย่างได้ผลที่สุด ว่ากันว่า แรกๆ
ได้มีการล็อบบี้เนวินว่า ขอ 1 ที่นั่งสำหรับดร.อนุวรรติ์ได้ไหม เนวินเอาแค่
2 ที่นั่งก็พอ เพราะยังไงดร.อนุวรรติ์ก็จะลงอีกเพียงสมัยเดียวเท่านั้นเนวินจะได้ไม่ต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อกีดกัน
ดร.อนุวรรติ์
แล้วไปช่วยลูกทีมในเขตอื่น แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อเนวินประกาศลูกทีมของเขาทุกคนต้องเข้าสภาฯให้ได้มหกรรมสาดโคลนสงครามน้ำลาย
รวมทั้งทุ่มเงินจึงมีขึ้นที่เขต 1
บุรีรัมย์ขนานใหญ่ซึ่งเป็นสงครามระหว่าง "อา-หลาน" ที่ครั้งหนึ่งเคยบอกตายแทนกันได้
เจ็บแทนกันได้ เงินซื้อเสียง 11 ล้าน อหังการนักเลือกตั้ง
ก่อนการเลือกตั้งจะเริ่มขึ้นไม่กี่วันข่าวฉาวโฉ่ทุ่มเงินซื้อเสียง ของ เนวิน
ชิดชอบ ส่งกลิ่นหึ่งไปถึงชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลกระทรวงมหาดไทย
ขณะที่พล.ต.ต.เสรี เตมียเวส
รองผู้บัญชาการสอบสวนกลางเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจ ได้รุดลงไปสืบค้นในพื้นที่
จ.บุรีรัมย์ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางเงินซื้อเสียงจำนวนถึง 11,399,900
บาท ที่บ้านนางประภาพร
ศิริพานิช น้องสาวของประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ลูกทีมของเนวิน พร้อมทั้งบัตรเลือกตั้งของผู้สมัครเบอร์4-5-6
ของพรรคชาติไทย ซึ่งคดีกำลังอยู่ขั้นตอนของการดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง
ขณะนี้ แต่ผลที่สุดเนวินสามรถนำลูกทีมพรรคชาติไทยเข้าสภาได้ 7 คน รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
จึงเป็นไปตามที่เขาคาดหมายไว้ กำนันชัยวาดฝัน อีก 20 ปีเนวินเป็นนายกฯ ชัย
ชิดชอบ
ผู้เป็นบิดาเท่านั้นที่ยังเชื่อมั่นในลูกและยืนยันว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีชุด
"บรรหาร1" เพราะเขาเป็นนักการเมืองที่เก่ง เล่นการเมืองด้วยความซื่อสัตย์
ครั้นจะให้พูดถึงลูกชายที่เป็นถึงรัฐมนตรีในด้านอื่นๆ รวมทั้งกรณีเงินซื้อเสียง
11 ล้านบาท กำนันชัยบอกเพียงว่า หากไม่มีเหตุสมเด็จย่าฯสวรรคต จะมีกำนันผู้ใหญ่บ้านมาชุมนุมกันเป็นหมื่นๆ
เพราะทนเห็นเนวินถูกกลั่นแกล้งไม่ได้นั่นเอง กำนันชัยวาดหวังไว้ว่าอีก 20
ปี เนวิน ชิดชอบจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเหมือนชวน หลีกภัย โดยอรรถาธิบาย
"เหมือนชวน"
ว่าถ้าทำงานการเมืองอย่างซื่อสัตย์สุจริตเหมือนเช่นที่เป็นอยู่ก็จะก้าวตามครรลองประชาธิปไตย
เพราะตั้งใจเล่นการเมืองจริงอย่างแท้จริง
และการวางแผนที่จะให้เนวินเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีการวางฐานการเมืองในทุกระดับไว้แล้ว
รวมทั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดที่จะมาถึงก็มีการเตรียมทีมลงสมัคร
ขณะที่กำนันชัยเอง พร้อมที่จะปลดระวางตัวเองจากการเมือง เพื่อที่จะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
ขุมทรัพย์ตระกูล "ชิดชอบ" บนเส้นทางธุรกิจ-การเมือง คงไม่ใช่เรื่องแหลกที่นักการเมืองผู้ประสบความสำเร็จ
ในเวทีการเมืองระดับชาติส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีธุรกิจสำคัญๆเป็นฐานอำนาจทางการเงิน
และมีส่วนเอื้อ ต่อการลงทุนทางการเมืองแทบทั้งสิ้น จนเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
แต่ทำอย่างไรเท่านั้นเองที่จะทำธุรกิจนั้นๆเป็นไปด้วยความสุจริตยุติธรรม
เช่นเดียวกัน หจก.โรงโม่หินศิลาชัย 1 และ2 เป็นธุรกิจที่ได้รับการเปิดเผยว่าเป็นธุรกิจหลักของ
กระกูลชิดชอบ
โดยโรงโม่หินศิลาชัย 1 อยู่ภายใต้การดูแลของ ชัย ชิดชอบ ส่วนโรงโม่หินศิลาชัย
2 อยู่ภายใต้ การดูแลของ เนวิน ชิดชอบ นอกจากนี้ธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลชิดชอบ
อีกแห่งหนึ่ง
คือฟาร์มกุ้งก้ามกรามที่บริเวณอำเภอสตึก จำนวนกว่า 400 ไร่ ซึ่งปัจจุบันยังคงผลิตกุ้งก้ามกรมป้อนตลาดบุรีรัมย์อย่างสม่ำเสมอ
ในส่วนธุรกิจของเนวิน ชิดชอบ
โดยมากมักไม่ปรากฎชื่อในรายชื่อผู้ถือหุ้นเพราะมอบความไว้วางใจให้เพื่อนสนิทแต่วัยเด็ก
และมีศักด์เป็นญาติทางมารดา นามประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล
สมาชิดสภาผู้แทนราษฎรหน้าใหม่แห่งจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเบียด ดร. อนุวรรติ์เข้ามาได้
เมื่อการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมาเป็นผู้จัดการดูแล โดยประสิทธิ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์
ขณะที่มีกระแสข่าวว่าเนวินเองก็มีหุ้นส่วนอยู่ไม่น้อย ธุรกิจหลักอีกอย่างหนึ่งของเนวิน
คือธุรกิจจัดสรรที่ดิน โดยมี 2 โครงการใหญ่ คือ โครงการบุรีมาศ มีผู้ถือหุ้นใหญ่ในนามหจก.อาร์
เอสก่อสร้าง
ของกมล เรืองสุขศรีวงศ์ โดยเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จะรับงานใหญ่จากเนวิน
ที่มีวงเงินเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป รายละเอียดของโครงการยุรีมาศ ประกอบด้วยดาคารพาณิชย์กว่า
400 ห้อง
สถานีขนส่งรถสองแถว และโรงแรม บนเนื้อที่กว่า 30 ไร่ บริเวณข้างองค์การโทรศัพท์จังหวัดบุรีรัมย์
ถ.บุรีรัมย์-พุท ไธสง อีกโครงการหนึ่งคือภูกระโดง
มีผู้ถือหุ้นใหญ่ในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีรัมย์สหมิตร ซึ่งมีประสิทธิ์
ตั้งศรีเกียรติกุล เป็นเจ้าของ และมีผู้ถือหุ้นใหญ่อีก 2 ราย คือเนวิน ชิดชอบ
และปริญญา สมานประทาน หัวหน้ากลุ่มก้าวใหม่
แห่งเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ เป็นโครงการแบ่งที่ดินเปล่าขาย เนื้อที่กว่า 100
ไร่ มูลค่าโครงการเฉพาะราคาที่ดินที่ซื้อมาประมาณ 30 ล้านบาท ไม่รวมค่าพัฒนาโครงการ
ส่วนบริษัทเนวินกรุ๊ป
ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างของ เนวิน เองได้ยกเลิกบริษัทไปเมื่อปีที่ผ่านมา
พันธมิตรการเมือง-ธุรกิจ ฐานการเมืองลึกล้ำ หันกลับไปดูพันธมิตรทางการเมืองของเนวิน
ซึ่งจะช่วยฉายภาพการก้าวกระโดดทางการเมืองของเยาได้ชัดเจนขึ้น ในยุคแรกเริ่ม
ในฐานะบุตรชายของกำนันชัย ชิดชอบ ทันทีที่สอบผ่านเป็น ส.ส.สมัยแรก เนวิน
ได้รับเลือกให้เป็นหน้าห้องของสรอรรถ กลิ่นประทุม เลขานะการของพ.อ.พล เริงประเสริฐวิทย์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเพราะเนวินลงสมัครในพรรคที่พลเอกพลเป็นหัวหน้านั่นเอง
ด้วยความสนิทสนมเป็นพิเศษกับสรอรรถนี่เองที่นำเขาเข้าไปรู้จักกับกลุ่มบ้านฉาง
เชื่อมโยงไปสู่กลุ่ม 16 ในที่สุดและโครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจหลายประการ ในสมัยที่ทวิช
กลิ่นประทุม เป็นรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อประมาณปี 2532 มีโครงการใหญ่เกิดขึ้นในภาคอีสาน
คือการสร้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มูลค่ากว่าพันล้านบาท โดยมีบริษัท
ช.การช่าง เป็นผู้รับผิดชอบก่อสร้าง กล่าวกันว่าการรับเหมาของ ช.การช่างนั้น
เนวินรับทราบโดยตลอดผ่านทางเพื่อนสนิทที่ชื่อสรอรรถ กลิ่นประทุม ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
ปรากฏว่าบริษัทรับเหมาในบุรีรัมย์ต่างได้รับงานเหามช่วงต่อจาก ช.การช่างมาถ้วนหน้า
โดยบริษัทรับเหมาก่อสร้างในบุรีรัมย์ ที่มีโอกาสรับช่วงงานก่อสร้าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ประกอลด้วย หจก.บุรีรัมย์สหมิตรก่อสร้าง ของประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล
ส.ส.บุรีรัมย์พรรคชาติไทย
หจก.สมานมิตรก่อสร้าง ของสมาน อัครวัฒน์ ส.จ.บุรีรัมย์ หจก. ช.วิศวะก่อสร้าง
หจก.มิตรยนต์ก่อสร้าง หจก.บุรีดิวิชั่นก่อสร้าง ของสมศักดิ์ นพรัตน์ติกานนท์
กำนันต.บ้านด่าน รวมถึง
หจก.ยิ่งเจริญก่อสร้าง ของ "กำนันเซ้ง" เจ้าของท่าทรายทรายทอง
ซึ่งเป็นตัวแทนเรื่องรับเหมาโดยตรงของกำนันชัย ตั้งอยู่ที่อำเภอสตึก และ
หจก.อาร์เอส ก่อสร้างของกมล เรืองสุขศรีวงศ์ เป็นอาทิ
กล่าวโดยสรุปแล้ว บริษํทรับเหมาส่วนใหญ่เป็นของสมาชิกสภาจังหวัดและกำนันในจังหวัดบุรีรัมย์นั่นเอง
เป็นความสำเร็จที่สามารถสร้างเครือข่ายและฐานเสียงที่ดีเยี่ยมของเนวิน ชิดชอบหรือไม่
ไม่มีใครกล้าตอบ! อย่างไรก็ตามใช่ว่าเนวินจะเป็นคนร่ำรวยอะไรนักหนา เพราะเขาก็ยังเป็น
ส.ส. ที่ยังต้องจำนองที่ดินเพื่อเป็นทุนในการลงสมัครรับเลือกตั้งเกือบทุกครั้ง
แหล่งข่าวในจังหวัดบุรีรัมย์กล่าวว่าในวันที่ 25 สิงหาคม 2535 ก่อนการเลือกตั้งเดือนกันยายน
เนวิน ชิดชอบ ได้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองธนาคารสหธนาคาร สำนักงานใหญ่จำนวน
25 ล้านบาท 5
กันยายน นำที่ดินจำนองธนาคารกรุงเทพฯ สาขาบุรีรัมย์ จำนวน 8.7 ล้านบาท โดยจดทะเบียนจำนองที่สำนักงานที่ดินอำเภอเมืองบุรีรัมย์
"ในการเลือกตั้งครั้งนั้น
เนวินนำที่ดินจำนองแบบเลือดเข้าตาเพราะเขาจำนองแม้กระทั่งที่ดินแปลงเล็กๆ
มูลค่าประมาณ 1 แสนบาทก็มี"แหล่งข่าวกล่าว กล่าวกันว่า ปัจจุบันเนวินยังมีหนี้สินพอสมควรกับแบงก์
เพราะต้องช่วยเหลือประชาชนที่มาขอความช่วยเหลือ ลำพังเงินเดือนส.ส.ย่อมไม่พอ
ขณะเดียวกันก็ต้องทุ่มเทในการ "อุ้ม" เพื่อนร่วมทีมเข้าสภาถึง
7 คน จากจำนวน 10 คน ของ ส.ส.บุรีรัมย์
ทางในชีวิตส่วนตัวและการเมืองของ ส.ส.ดาวรุ่งอย่าง "เนวิน ชิดชอบ"
จึงโชกโชนและน่าสนใจยิ่ง เขาเติบโตมาท่ามกลางความเป็นนักการเมืองในแบบ "ท้องถิ่น"
ขณะที่การทำงานของเขาในสภาล้ำหน้าไปกว่าใครในสภา แต่เรื่องราวรอบตัวเขานำไปสู่การครหาหลายเรื่องหลายครา
การเริ่มต้นเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่ง
"รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง"ซึ่งเป็นกระทรวงสำคัญมีผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร้องว่า "ยี้" ณ วินาทีนี้ เนวินยิ่งต้องสร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับ
และสร้างภาพพจน์นักการเมืองที่สะอาด มิฉะนั้นอาจได้ยินเสียงร้อง "ยี้"
ไปตลอดทางกว่าที่เขาจะไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!