|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
หม่อมอุ๋ย ส่งสัญญาณชัดดันดอกเบี้ยกู้และฝากขึ้น เตรียมออกพันธบัตร 2.5 แสนล้านบาท เพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบ แย้มปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับขึ้นอีก 1 ครั้ง พร้อมทบทวนประมาณการเศรษฐกิจใหม่หลังราคาน้ำมันพุ่งไม่หยุด และไทยนำเข้าสูง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอนุมัติให้ ธปท.ออกพันธบัตร วงเงินประมาณ 250,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดูดซับสภาพคล่องในระบบ โดยปัจจุบันสภาพคล่องในระบบทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งสภาพคล่องในระบบของธนาคารพาณิชย์ที่แท้จริง ไม่นับรวมกับสภาพคล่องที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่อยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 250,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น ซึ่งลดลงหลังจากที่ ธปท. ดำเนินการดูดซับสภาพคล่องมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินมีการปรับขึ้นบ้างอย่างที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับขึ้นบ้างแล้ว และยังสามารถปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง
หลังจากได้รับอนุมัติการออกพันธบัตรดังกล่าว ธปท.ได้วางแผนการออกพันธบัตรไว้เป็นพันธบัตร ธปท.ประเภทอายุ 1 เดือน อายุ 1 ปี และอายุ 2 ปี ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยออกพันธบัตรเพิ่มเติมเป็นระยะๆ ให้เหมาะสมกับสภาพของระบบเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น
"ปีนี้ ธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกกี่ครั้งยังบอกไม่ได้ เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต้องดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในอนาคตด้วย แต่ตอนนี้มีเครื่องมือในการดูดซับสภาพคล่องแล้ว กระทรวงการคลังอนุมัติวงเงินก้อนใหม่ให้แล้ว ซึ่งตอนนี้ที่ประหลาดใจคือตัวเลขการนำเข้าในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมากลับเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร ซึ่งทุกฝ่ายมองว่าการนำเข้าควรจะปรับลดลงแล้ว" ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของการนำเข้าดังกล่าว ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ทุกฝ่ายเกรงว่าราคาวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันจึงต้องเร่งการนำเข้า แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548 ตัวเลขการนำเข้าจะลดลงมากกว่าในปัจจุบัน เพราะ ธปท.พบว่าสินค้าคงคลังของภาคอุตสาหกรรมถูกนำเข้ามาก่อนหน้าเต็มที่แล้ว ทำให้คงไม่มีการเร่งนำเข้ามาในคลังสินค้ามากเหมือนกับในช่วงครึ่งปีแรก
"ถ้านำเข้ามาเก็บในสต๊อกมากเกินไป คนที่สต๊อกก็กลัว เพราะมีต้นทุนมากเกินไปเงินมันจม ซึ่งตอนนี้สต๊อกก็เต็มหมดแล้ว จึงเชื่อว่าครึ่งหลังของปีนี้การนำเข้าจะลดลง และมีผลดีต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด" ผู้ว่าการธปท.กล่าว
ขณะที่ นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ต้องมองสภาพเศรษฐกิจไทยเผื่อไว้ก่อนว่าอาจจะขยายตัวไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ทราบว่าจะหยุดที่ราคาเท่าไร อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าจะกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศ แต่ปัญหาดังกล่าวได้กระทบต่อประเทศทั่วโลกเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ ธปท.อยู่ในระหว่างการทำประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่อีกครั้ง โดยจะประกาศตัวเลขในวันที่ 31 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้
|
|
 |
|
|