คุณพร้อมหรือยังเมื่อถึงเวลาที่คุณจำใจต้องขายบริษัทและวางมือ หลังจากพยายามยื้อเอาไว้ให้นานที่สุดเพราะคุณปั้นมากับมือเอง แต่แล้วก็ต้องยอมปล่อยไปในที่สุดเมื่อถึงวัยอันสมควร
ถ้าคุณยังไม่ได้วางแผนและปรึกษากับทนายและฝ่ายบัญชีอย่างรอบคอบแล้วละก็ถือว่คุณยังไม่พร้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ขอให้คุณเริ่มคิดให้ถี่ถ้วนเพราะการขายธุรกิจเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่คุณจะทำ หากก้าวผิดไปหนึ่งก้าวกรมสรรพากรอาจจะมาตามล้างตามเช็ดเอาได้
ก่อนที่คุณจะขายธุรกิจคุณต้องถามคำถามสำคัญกับตัวคุณเองก่อนว่า คุณต้องการวางมือจริงๆหรือเปล่าหรือคุณต้องการเพียงจำกัดบทบาทของตัวเองในธุรกิจเท่านั้น? คุณมีเงินทองพอจะเลี้ยงดูคู่ชีวิตและลูกของคุณแล้วหรือ และคุณมีเงินสดพอจะเลี้ยงตัวเองหลังวางมือหรือเปล่า? หรือว่าคุณจะยกธุรกิจให้ลูกๆหรือเปล่า
เมื่อคุณวางแผนไว้รอบคอบแล้ว คุณจำเป็นต้องเลือกหาทางที่ดีที่สุดสำหรับการขายกิจการ นักวางแผนด้านการเงินกล่าวว่ามีแนวทางพื้นฐานอยู่ 3 แนวได้แก่ ขายธุรกิจไปให้หมดเลย, ทำเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือสร้างบริษัทโฮลดิ้งส่วนตัวขึ้นมา แต่ละแนวทางมีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของมันอยู่ กลเม็ดสำคัญคือคุณต้องรู้ว่าวิธีไหนที่เข้ากับแผนการเกษียณอายุของคุณมากที่สุด
บางทีทางที่ดีที่สุดสำหรับการเกษียณคือ ให้ขายบริษัทไปให้หมดและเอาเงินสดมาซื้อพันธบัตรหรือฝากธนาคารนอนกินดอกเบี้ยสบายๆสมมุติว่าคุณขายบริษัทได้ราคาคุ้นเกินคุ้มซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่อย่าลืมว่าคุณยังมีภาระถที่จะต้องเสียภาษีอีก คุณจะต้องเสียภาษีเงินได้จากการขายสินทรัพย์ประเภททุนถึงร้อยละ 28% จากราคาขายลบด้วยการลงทุนของคุณในบริษัท ดังนั้นถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่เริ่มสร้างธุรกิจด้วยเงินเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ เวลาที่คุณขายบริษัทคุณจะต้องถูกหักเกือบ 28% จากมูลค่าทั้งหมด
ตอนนี้ สมมุติว่าคุณขายบริษัทและจ่ายภาษีไปเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาอยู่กับหลานและไปเล่นกอล์ฟสองสามปีแล้วก็ตาย ทุกอย่างที่คุณทิ้งไว้ให้คู่ชีวิตคุณจะไม่ถูกเก็บภาษี แต่สำหรับผู้สืบทอดมรดกรายอื่นจะได้การยกเว้นภาษีเพียง 600,000 ดอลลาร์แรกเท่านั้นที่เหลือจะต้องจ่ายภาษี 37% และ 55% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ให้กับกรมสรรพากรในรูปภาษีมรดกคิดสะระตะดูแล้วคุณจะต้องเสียภาษีถึง 70%
นักวางแผนการเงินมีทางออกที่ช่วยลดภาระภาษีได้มหาศาลเลยทีเดียว ยกตัวอย่างสำหรับคนที่คิดว่าจะยกบริษัทหรือทรัพย์สมบัติที่อยู่ในรูปของบริษัทให้ลูก สามารถลดภาษีภาษีได้โดยทยอยแบ่งหุ้นให้หลายๆครั้ง เพราะในแต่ละปีรัฐบาลยอมให้คุณให้ของขวัญมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ให้กับสมาชิกของครอบครัวได้โดยไม่ต้องเสียภาษี
ด้วยวิธีนี้ พ่อแม่สามารถให้หุ้นมูลค่า 10,000 ดอลลาร์แก่บุตรหลานแต่ละคนได้ หรือทั้งพ่อและแม่สามารถรวมกันให้ของขวัญลูกแต่ละคนได้ถึง 20,000 ดอลลาร์ ต่อมาถ้าลูกตัดสินใจขายหุ้นของตัวเอง พวกเขาก็จะจ่ายภาษีเงินได้จากการขายสินทรัพย์ทุน (28%) และเลี่ยงการเสียภาษีมรดก (55%) ได้ด้วย
ถ้าคุณไม่มีลูกที่จะมอบบริษัทให้และคุณเองก็ไม่สนใจที่จะทำธุรกิจอีกต่อไปแล้วคุณอาจจะสนใจแปลงบริษัทให้เป็นโฮลดิ้งคอมปานีส่วนตัวได้ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณทำกำไรจากมูลค่าทางการเงินของธุรกิจคุณได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้เป็นจำนวนมากจากการขายสินทรัพย์ทุน สมมุติว่าบริษัทคุณขายสินทรัพย์ประเภทสินค้าคงคลัง,ชิ้นส่วนประกอบ,อาคาร,เครื่องจักรให้ตั้งโฮลดิ้งคอมปานีและเอาเงินไปลงทุนในหุ้นเหล่านี้
นักวางแผนการเงินยังได้แนะว่ากองทุนแบบนี้อาจจะถูกนำมาใช้เพื่อซื้อหุ้นบุริมสิทธิประเภทที่ให้เงินปันผลได้ด้วยเพราะว่าการจ่ายเงินปันผลให้กับบริษัท (อย่างเช่น โฮลดิ้ง คอมปานีแห่งใหม่ของคุณ) ได้รับการยกเว้นภาษีถึง 70% อย่างไรก็ดีเงินทุกบาทที่คุณได้จากโฮลดิ้งคอมปานียังต้องเสียภาษีเงินได้อยู่ดี
ไม่ว่าคุณจะเลือกขายบริษัทด้วยวิธีไหน ขอให้จำไว้ว่ามันต้องใช้เวลา ควรวางแผนเสียแต่เนิ่นๆและอย่ารอจนถึงนาทีสุดท้าย ยกตัวอย่างหากคุณคิดจะขายบริษัทในวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่สามารถใช้วิธียกบริษัทให้กับลูกโดยให้หุ้นเป็นของขวัญปีละ 10,000 ดอลลาร์เพื่อเลี่ยงภาษีได้และจริงๆแล้วคุณเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าคุณต้องการเกษียณตัวเองจริงหรือเปล่า เดวิด เกียร์สันจากเอิร์สต์ แอนด์ ยังให้ข้อคิดว่า “ผู้ประกอบการมักจะคิดอยู่เสมอว่าเขาเป็นอมตะแต่ไม่ใช่พวกเขาควรจะเริ่มวางแผนตั้งแต่อายุย่างเข้าปีที่ 40”
|