ทุกวันนี้สนธิ ลิ้มทองกุล ทำตัวเป็นคนโลว์โปรไฟล์ยิ่งนัก เขากำลังมุ่งมั่นกับการสร้างอาณาจักรดาวเทียมด้วยความฝันความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่
เขาเปิดโอกาสให้ "ผู้จัดการ" สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องธุรกิจดาวเทียม อย่างไรก็ดี
ได้มีการพูดถึงเรื่องอื่นๆ ตามประสาคนสนทนากันด้วย วันนี้เขามีบทเรียน แง่คิดและข้อสรุปหลายอย่างจากการใช้ชีวิตมารวม
50 ปี "ผู้จัดการ" เปิดโอกาสตรงนี้ให้เขาพูดถึงแง่มุมต่างๆ อย่างเต็มที่
โดยหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้แง่คิดของชายร่างใหญ่ที่ย่อโลก ย่อภูมิภาค ย่อประเทศและประสบการณ์ชีวิต
แปรมาเป็นการกระทำของเขาในเวลานี้ :- มุมมองเรื่องสังคมไทยและบทบาทของเขา
สังคมไทยจากวันนี้ไป อย่างน้อยจนถึงปี 2542-2543 จะเป็นยุคของการช่วงชิงอำนาจอย่างรุนแรง
เพราะว่าเป็นช่วงที่กฎกติกากำลังเปลี่ยน และกฎกติกาที่เปลี่ยนนั้นมันหมายถึงการสูญเสียโอกาสของคนเดิมๆ
ที่ถนัดการใช้กติกาเดิมๆ เพื่อก้าวเข้ามามีบทบาทในสังคม
ช่วงนี้ผมคิดว่าผมคงจะช่วยสังคมไม่ได้ เพราะว่าผมไปเล่นตามกติกาที่เขาต่อสู้กันด้วยวิธีที่สกปรกนั้นผมทำไม่ไหว
แต่ผมคิดว่าผมช่วยประเทศชาติได้ด้วยการทำตัวผมเองให้เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้
คืออย่างน้อยที่สุดวันนี้ ที่ไหนก็ตามที่ผมไปกล่าวสุนทรพจน์ในต่างประเทศ
ผมเป็นตัวแทนของหนังสือพิมพ์ Asia Times เพราะผมเป็นคนเอเชียคนเดียวที่สังคมชาวโลกยอมรับว่าเป็นคนทำหนังสือพิมพ์ในโลกตะวันตก
เพียงแต่สิ่งที่ผมทำให้สังคมไทยได้คือเมื่อเขาพูดแนะนำตัวว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
จากประเทศไทยเป็นคนเอเชียคนเดียว นี่ผมก็ภูมิใจแล้ว
ผมถือว่าผมทำชื่อให้ประเทศไทยแล้ว
ผมถือว่าบทบาทที่ผมจะมีต่อสังคมไทยใน 2-3 ปีข้างหน้านั้น คือผมต้องพัฒนาและสร้างกลุ่มผู้จัดการตลอดจนกลุ่มธุรกิจต่างๆ
ที่จะไปปรากฏตัวในต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จและให้ดีที่สุด และให้เขารู้ว่านี่คือฝีมือคนไทย
นั่นคือบทบาทที่ผมจะมีต่อสังคมใน 2-3 ปีข้างหน้า
ผมอายุ 50 แล้ว ผมมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรุ่นหลังและสังคมไทยดีกว่าเก่า
สมัยก่อน ผมเป็นคนที่ทะเยอทะยานมาก อยากจะเปลี่ยนโลก เมื่อกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ
ก็อยากจะเปลี่ยนเมืองไทย พอมาวันนี้ผมคิดว่าดีที่สุดที่ผมคิดคือ จะทำอย่างไรให้คนในองค์กรเรามีทัศนคติที่ดีและมีความมุมานะ
มีความรู้สึกต้องการพัฒนาตนเองมากกว่า
คือความปรารถนาเราเริ่มเล็กลง
แต่ว่าความทะเยอทะยานยังมีอยู่ ที่ต้องการให้คนไทยและคนเอเชียสามารถยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผยโดยที่ไม่โดนต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกตะวันตกดูถูก
อยากให้โลกตะวันตกเห็นฝีมือคนเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย ซึ่งในประเทศไทยมีหลายคนที่ผมชมเชยเขามาก
อย่างชาญ อัศวโชค แห่งอัลฟาเทค ผมถือว่าเขาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างมาก
และหลายๆ คนอย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน และคนที่ทำธุรกิจโดยไม่ผูกขาดแล้วร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยการแข่งขันที่ยุติธรรม
แล้วไม่ได้ใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเพื่อทำให้ธุรกิจของเขาอยู่ได้ คนอย่างนี้ผมขอชื่นชม!
โดยเฉพาะคนที่ออกไปสู้รบกับต่างชาติในเรื่องการค้า ผมชมเชยเขามาก!
ผมเป็นคนกลัวคนดี คนเก่ง คนเก่งอย่างดีที่มีศีลธรรมและคนที่ทำชื่อให้ประเทศชาติ
พวกนี้ถูกประเทศชาติละเลยมานาน เราไปยกย่องคนที่ไม่ควรยกย่องมานาน
ผมอยากเห็นการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ใช่การกระจายความมั่งคั่ง อยากให้มีนักธุรกิจภูมิภาคที่ร่ำรวยเกิดขึ้นมากๆ
เพื่อที่ว่าอำนาจมันจะได้กระจายไปบ้าง แทนที่จะกระจุกอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่อยากเห็นคนรวยไม่กี่คนในกรุงเทพฯ
ทุกวันนี้คนไทยส่วนหนึ่งที่มีอำนาจกำลังลืมตัวหลงใหลในอำนาจ
หารู้ไม่ว่าอำนาจคือลมที่พัดมาถูกตัว แล้วมันก็พัดผ่านไป
เราเห็นมามาก จนกระทั่งจริงๆ แล้วในส่วนลึกมันเป็นสัจธรรมที่ผมเห็นแล้วรู้สึกเฉยๆ
ไม่ได้รู้สึกยิ่งใหญ่ไปตามความยิ่งใหญ่ของคน มิหนำซ้ำในทางตรงกันข้าม กลับรู้สึกสังเวชเสียด้วยซ้ำ
มุมมองเรื่องผู้นำไทยในอนาคต
ผมมีความเชื่อมั่นว่าคนที่จะนำประเทศได้รอด 1) ต้องเป็นคนที่มีความเป็นสากล
ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษได้ ต้องเข้าใจภูมิภาคนี้เพราะปัญหาในภูมิภาคนี้ในอนาคตจะเป็นปัญหาร่วมกัน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในพม่าไม่ใช่ปัญหาพม่าประเทศเดียว มันเป็นปัญหาของประเทศไทยและลาวด้วย
หรือปัญหาของประเทศเพื่อนบ้านเราที่จนนั้น มันไม่ใช่ปัญหาของเขาเท่านั้นเพราะหากเขาจนและเรารวยอยู่คนเดียว
เราลำบากแน่ เราต้องรีบทำให้เขารวย
ความเป็นสากลที่คนนานาชาติยอมรับได้ ที่ไม่มีประวัติที่เช็กแล้วว่าเป็นคนใช้ไม่ได้
ต่างชาติต้องยอมรับทั้งกายและใจ
2) ต้องเป็นคนที่ตีนติดดิน คนที่เข้าใจดอกเบี้ยพันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน
อัตราเงินเฟ้อ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจความยากจนของผู้คน เข้าใจว่าจะต้องแก้อย่างไร
ไม่ใช่มองว่าการแก้ปัญหาของประเทศชาตินั้นต้องสร้างให้ภาคเอกชนใหญ่เท่านั้นพอ
ภาคเอกชนที่พูดถึงนี้คือคนรวยไม่กี่คน แต่ทำอย่างไรที่จะให้คนจนมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งเกิดขึ้นมาบ้าง
ต้องตีนติดดิน นี่สำคัญมาก
3) ต้องเป็นคนที่มีใจนักเลง ในบางเรื่องต้องกล้าตัดสินใจให้เห็น เป็นคนที่ไม่หวงอำนาจ
พร้อมที่จะลุยกับอำนาจได้ในการตัดสินใจของตัวเอง
4) ต้องเป็นคนที่มีเงิน ผู้นำในอนาคตไม่มีเงินไม่ได้ และเงินที่ได้มาต้องบริสุทธิ์
5) มีความรอบรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรู้ลึก แต่สามารถนำความคิดได้ ไม่ใช่ว่าพอไม่รู้เรื่องนี้แล้ว
แต่เมื่อไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ยอมตามเขาทุกเรื่อง ต้องฟังเรื่องแล้วเข้าใจ
มีวิสัยทัศน์
ผมว่า 4-5 ข้อที่ผมพูดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ เพราะผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเรา
ซึ่งผมหมายถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ ผู้นำเขามีคุณสมบัติเหล่านี้ครบ
เราต้องเป็นผู้นำอาเซียนให้ได้!