Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2540
ตัวตนสนธิ ลิ้มทองกุล             
โดย ยังดี วจีจันทร์
 

   
related stories

แอลสตาร์ในสายฝน

   
search resources

สนธิ ลิ้มทองกุล




ทุกวันนี้สนธิ ลิ้มทองกุล ทำตัวเป็นคนโลว์โปรไฟล์ยิ่งนัก เขากำลังมุ่งมั่นกับการสร้างอาณาจักรดาวเทียมด้วยความฝันความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ เขาเปิดโอกาสให้ "ผู้จัดการ" สัมภาษณ์ในประเด็นเรื่องธุรกิจดาวเทียม อย่างไรก็ดี ได้มีการพูดถึงเรื่องอื่นๆ ตามประสาคนสนทนากันด้วย วันนี้เขามีบทเรียน แง่คิดและข้อสรุปหลายอย่างจากการใช้ชีวิตมารวม 50 ปี "ผู้จัดการ" เปิดโอกาสตรงนี้ให้เขาพูดถึงแง่มุมต่างๆ อย่างเต็มที่ โดยหวังว่าท่านผู้อ่านจะได้แง่คิดของชายร่างใหญ่ที่ย่อโลก ย่อภูมิภาค ย่อประเทศและประสบการณ์ชีวิต แปรมาเป็นการกระทำของเขาในเวลานี้ :- มุมมองเรื่องสังคมไทยและบทบาทของเขา

สังคมไทยจากวันนี้ไป อย่างน้อยจนถึงปี 2542-2543 จะเป็นยุคของการช่วงชิงอำนาจอย่างรุนแรง เพราะว่าเป็นช่วงที่กฎกติกากำลังเปลี่ยน และกฎกติกาที่เปลี่ยนนั้นมันหมายถึงการสูญเสียโอกาสของคนเดิมๆ ที่ถนัดการใช้กติกาเดิมๆ เพื่อก้าวเข้ามามีบทบาทในสังคม

ช่วงนี้ผมคิดว่าผมคงจะช่วยสังคมไม่ได้ เพราะว่าผมไปเล่นตามกติกาที่เขาต่อสู้กันด้วยวิธีที่สกปรกนั้นผมทำไม่ไหว

แต่ผมคิดว่าผมช่วยประเทศชาติได้ด้วยการทำตัวผมเองให้เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้

คืออย่างน้อยที่สุดวันนี้ ที่ไหนก็ตามที่ผมไปกล่าวสุนทรพจน์ในต่างประเทศ ผมเป็นตัวแทนของหนังสือพิมพ์ Asia Times เพราะผมเป็นคนเอเชียคนเดียวที่สังคมชาวโลกยอมรับว่าเป็นคนทำหนังสือพิมพ์ในโลกตะวันตก เพียงแต่สิ่งที่ผมทำให้สังคมไทยได้คือเมื่อเขาพูดแนะนำตัวว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จากประเทศไทยเป็นคนเอเชียคนเดียว นี่ผมก็ภูมิใจแล้ว

ผมถือว่าผมทำชื่อให้ประเทศไทยแล้ว

ผมถือว่าบทบาทที่ผมจะมีต่อสังคมไทยใน 2-3 ปีข้างหน้านั้น คือผมต้องพัฒนาและสร้างกลุ่มผู้จัดการตลอดจนกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่จะไปปรากฏตัวในต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จและให้ดีที่สุด และให้เขารู้ว่านี่คือฝีมือคนไทย

นั่นคือบทบาทที่ผมจะมีต่อสังคมใน 2-3 ปีข้างหน้า

ผมอายุ 50 แล้ว ผมมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรุ่นหลังและสังคมไทยดีกว่าเก่า

สมัยก่อน ผมเป็นคนที่ทะเยอทะยานมาก อยากจะเปลี่ยนโลก เมื่อกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ก็อยากจะเปลี่ยนเมืองไทย พอมาวันนี้ผมคิดว่าดีที่สุดที่ผมคิดคือ จะทำอย่างไรให้คนในองค์กรเรามีทัศนคติที่ดีและมีความมุมานะ มีความรู้สึกต้องการพัฒนาตนเองมากกว่า

คือความปรารถนาเราเริ่มเล็กลง

แต่ว่าความทะเยอทะยานยังมีอยู่ ที่ต้องการให้คนไทยและคนเอเชียสามารถยืนอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผยโดยที่ไม่โดนต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกตะวันตกดูถูก

อยากให้โลกตะวันตกเห็นฝีมือคนเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย ซึ่งในประเทศไทยมีหลายคนที่ผมชมเชยเขามาก อย่างชาญ อัศวโชค แห่งอัลฟาเทค ผมถือว่าเขาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างมาก และหลายๆ คนอย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน และคนที่ทำธุรกิจโดยไม่ผูกขาดแล้วร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยการแข่งขันที่ยุติธรรม แล้วไม่ได้ใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเพื่อทำให้ธุรกิจของเขาอยู่ได้ คนอย่างนี้ผมขอชื่นชม! โดยเฉพาะคนที่ออกไปสู้รบกับต่างชาติในเรื่องการค้า ผมชมเชยเขามาก!

ผมเป็นคนกลัวคนดี คนเก่ง คนเก่งอย่างดีที่มีศีลธรรมและคนที่ทำชื่อให้ประเทศชาติ พวกนี้ถูกประเทศชาติละเลยมานาน เราไปยกย่องคนที่ไม่ควรยกย่องมานาน

ผมอยากเห็นการสร้างความมั่งคั่ง ไม่ใช่การกระจายความมั่งคั่ง อยากให้มีนักธุรกิจภูมิภาคที่ร่ำรวยเกิดขึ้นมากๆ เพื่อที่ว่าอำนาจมันจะได้กระจายไปบ้าง แทนที่จะกระจุกอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่อยากเห็นคนรวยไม่กี่คนในกรุงเทพฯ

ทุกวันนี้คนไทยส่วนหนึ่งที่มีอำนาจกำลังลืมตัวหลงใหลในอำนาจ

หารู้ไม่ว่าอำนาจคือลมที่พัดมาถูกตัว แล้วมันก็พัดผ่านไป

เราเห็นมามาก จนกระทั่งจริงๆ แล้วในส่วนลึกมันเป็นสัจธรรมที่ผมเห็นแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกยิ่งใหญ่ไปตามความยิ่งใหญ่ของคน มิหนำซ้ำในทางตรงกันข้าม กลับรู้สึกสังเวชเสียด้วยซ้ำ มุมมองเรื่องผู้นำไทยในอนาคต

ผมมีความเชื่อมั่นว่าคนที่จะนำประเทศได้รอด 1) ต้องเป็นคนที่มีความเป็นสากล ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษได้ ต้องเข้าใจภูมิภาคนี้เพราะปัญหาในภูมิภาคนี้ในอนาคตจะเป็นปัญหาร่วมกัน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในพม่าไม่ใช่ปัญหาพม่าประเทศเดียว มันเป็นปัญหาของประเทศไทยและลาวด้วย

หรือปัญหาของประเทศเพื่อนบ้านเราที่จนนั้น มันไม่ใช่ปัญหาของเขาเท่านั้นเพราะหากเขาจนและเรารวยอยู่คนเดียว เราลำบากแน่ เราต้องรีบทำให้เขารวย

ความเป็นสากลที่คนนานาชาติยอมรับได้ ที่ไม่มีประวัติที่เช็กแล้วว่าเป็นคนใช้ไม่ได้ ต่างชาติต้องยอมรับทั้งกายและใจ

2) ต้องเป็นคนที่ตีนติดดิน คนที่เข้าใจดอกเบี้ยพันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจความยากจนของผู้คน เข้าใจว่าจะต้องแก้อย่างไร ไม่ใช่มองว่าการแก้ปัญหาของประเทศชาตินั้นต้องสร้างให้ภาคเอกชนใหญ่เท่านั้นพอ ภาคเอกชนที่พูดถึงนี้คือคนรวยไม่กี่คน แต่ทำอย่างไรที่จะให้คนจนมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งเกิดขึ้นมาบ้าง ต้องตีนติดดิน นี่สำคัญมาก

3) ต้องเป็นคนที่มีใจนักเลง ในบางเรื่องต้องกล้าตัดสินใจให้เห็น เป็นคนที่ไม่หวงอำนาจ พร้อมที่จะลุยกับอำนาจได้ในการตัดสินใจของตัวเอง

4) ต้องเป็นคนที่มีเงิน ผู้นำในอนาคตไม่มีเงินไม่ได้ และเงินที่ได้มาต้องบริสุทธิ์

5) มีความรอบรู้ทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรู้ลึก แต่สามารถนำความคิดได้ ไม่ใช่ว่าพอไม่รู้เรื่องนี้แล้ว แต่เมื่อไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ยอมตามเขาทุกเรื่อง ต้องฟังเรื่องแล้วเข้าใจ มีวิสัยทัศน์

ผมว่า 4-5 ข้อที่ผมพูดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ เพราะผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเรา ซึ่งผมหมายถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ ผู้นำเขามีคุณสมบัติเหล่านี้ครบ

เราต้องเป็นผู้นำอาเซียนให้ได้!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us