โสภณ สุภาพงษ์ หัวเรือใหญ่ของบางจากฯ กล่าวเสมอว่า “ทุกครั้งที่ผมออกจากเมืองไทย มันคล้าย ๆ กับผมได้เดินออกมาจากที่ไหนซักแห่งหนึ่งที่เขาเรียกว่า “ซ่อง” เพื่อนต่างประเทศมักถามถึงว่าที่นั่นเป็นอย่างไร เขาถามเหมือนกับผมได้เดินออกมาจากที่นั่นเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะอยู่เฉยได้อย่างไร ผมคิดว่าจะต้องเป็นหน้าที่อะไรสักอย่างในเรื่องพวกนี้ และนี่เป็นเหตุหนึ่งที่บางจากฯ เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้และถือเป็นนโยบาย” ก่อนที่จะแจงปัญหาสังคมอย่างสมเหตุสมผลกับ “ผู้จัดการ” ต่อไป
เหตุนี้ การวางแนวทางนโยบายธุรกิจที่ยั่งยืนและกำไรไปพร้อม ๆ กับคนส่วนใหญ่คือ สิ่งที่โสภณผลักดันและปฏิบัติอย่างจริงจัง ตลอด 8 ปีนับแต่เข้ามาบริหาร
“ธุรกิจลักษณะรวยคนเดียวมันจะต้องจบลงในช่วงต่อไป เพราะว่าสังคมรับไม่ไหวแล้ว” หนุ่มใหญ่วัย 48 กล่าวย้ำอีก
ซึ่งการกำไรไปพร้อม ๆ คนส่วนใหญ่ของโสภณ มิใช่แค่ราคาคุยเท่านั้น แต่หมายถึงปั๊มสหกรณ์การเกษตรขนาดเล็กที่เริ่มมาตั้งแต่ 2533 จนปัจจุบันมีกว่า 370 แห่งทั่วประเทศแล้ว มูลค่า ค้าขายกว่า 2,000 ล้านบาท กำไรกว่า 180 ล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มไปถึง 1,000 แห่ง ภายในสิ้นปี 2540
จากจำนวนปั๊มขนาดเล็กที่เริ่มขายเฉพาะน้ำมันดีเซล ล่าสุดได้พัฒนาเป็นปั๊มมาตรฐานเหมือนที่อยู่ในกรุงเทพฯ แล้ว 5 แห่ง คือ ปั๊มสหกรณ์การเกษตรสันป่าตอง, สหกรณ์การเกษตรสันกำแพง, สหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ด, สหกรณ์การเกษตรแม่ริม และสหกรณ์ศูนย์กลางผู้บริโภคภาคเหนือ รวมถึงที่กำลังจะพัฒนาขึ้นอีกอย่างไม่จำกัด
การส่งเสริมให้สหกรณ์การเกษตรเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันบริหารเอง เป็นแนวทางเล็ก ๆ ที่บางจากฯ หวังจะช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีโอกาสเลี้ยงชีพมีรายได้ อันถือเป็นการป้องกันมิให้กลุ่มเหล่านี้ขายลูกไปเป็นโสเภณีได้ทางหนึ่ง อีกทั้งเพิ่มความสามารถในเรื่องค้าขาย การบริหารทุน
โดยที่ชาวบ้านไม่ต้องมากังวลเรื่องขาดทุนเพราะบางจากฯ จะให้เงินกู้ไม่คิดดอกเบี้ยไปดำเนินการขั้นต้นประมาณ 300,000 บาท ในปั๊มขนาดเล็กไปจนถึง 3-7 ล้านบาท ในปั๊มมาตรฐานก่อน โดยผ่อนส่งคืนในระยะ 3 ปี และหากล้มละลายบางจากฯ ก็จะเข้าซื้อกิจการแทน ซึ่งกรณีหลังนี้แทบจะมองไม่เห็น เพราะนอกจากไม่ต้องซื้อน้ำมันจากคนกลางแล้ว บางจากฯ ยังจะส่งเจ้าหน้าที่อบรมเสริมเรื่องการค้าขาย การบริหารงานแก่สหกรณ์การเกษตรในทุกเดือนด้วย
“เราจะเติบโตในเมือง แต่จะใช้เวลาอย่างมากในเรื่องชนบทและประสานกับกองทุนพัฒนาชนบท, องค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอและหน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น อันนำมาซึ่งรายได้ที่เป็นพื้นฐานสำคัญนอกจากการศึกษา และโอกาสในเรื่องการรับรู้ข้อมูล ทำให้เกิดการเรียนรู้ ขบวนการพัฒนาด้วยตนเอง ผมคิดว่าชนบทต้องแข็งแรงในเรื่องเหล่านี้ก่อน” โสภณกล่าวเสริมนโยบายบางจากฯ
ถึงแม้ว่าตลาดน้ำมันจะมีการแข่งขันกันสูงทั้งในท้องถิ่นและตัวเมือง แต่สำหรับบางจากฯ ภายใต้การนำของโสภณ 90% ของการพูดคุยกับผู้จัดการ กลับเป็นเรื่องวัฒนธรรม, ปัญหาชนบท ความยากจน, ปัญหาเด็ก, ปัญหาโสเภณีเด็ก ปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมอีกมากมาย เขาไม่ได้พูดถึงการแข่งขันกับผู้ค้าน้ำมันที่มีกว่า 20 รายแต่อย่างใด เสมือนว่าตนเองเป็นนักสังคมสงเคราะห์ยังไงยังงั้น
แต่โสภณ คือ กรรมการผู้จัดการใหญ่ นักบริหารธุรกิจของบริษัทซึ่งจากภาวะหนี้สินกว่า 4,000 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็กำลังจะไต่สู่อันดับ 3 ของบริษัทค้าน้ำมันในประเทศด้วยสถิติยอดขาย 14,047 ล้านบาท ในปี 2535, 25,060 ล้าน บาทในปี 2536 โดยคาดว่าจะได้กว่า 30,000 ล้านบาทในปี 37 และจะไต่ไปถึง 40,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2540
10 ปีของบางจากฯ และ 8 ปีของโสภณ หลังจากที่รัฐโดยกระทรวงการคลังเข้ายึดกิจการโรงกลั่นน้ำมันซัมมิท อินดัสตรี เมื่อ 2528 และตั้งบริษัทบางจากขึ้นมาดูแล ซึ่งถือเป็นโรงกลั่นแห่งแรกที่ไม่มีแรงงานต่างประเทศเลย จนถึงการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 2537 โดยมีกระทรวงการคลังถือหุ้น 48% การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) 24% ธนาคารกรุงไทย 8% และประชาชนทั่วไป 20% เหล่านี้นับเป็นสิ่งที่น่าจับตามองต่อไปว่าบางจากฯ จะทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ให้สังคมอีกบ้าง
รางวัลทางสังคมอาทิ บริษัทประหยัดพลังงานดีเด่นปี 2533 บริษัท พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ดีเด่น ปี 2534 และบริษัทที่มีความปลอดภัยดีเด่น ปี 2537 คงไม่สำคัญเท่าการปฏิบัติต่อสังคมอย่างจริงจังในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ทว่าบางจากฯ ในยุคโสภณจะทวนกระแสการแข่งขันทางธุรกิจได้ยาวนานแค่ไหนนโยบายการทำธุรกิจคู่ไปกับเรื่องวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสังคมจะประสบผลสำเร็จได้เพียงใด จะสามารถจุดประกายสังคมหรือเพื่อนร่วมธุรกิจเดียวกันได้หรือไม่ ไม่มีการประเมินและคำตอบออกจากเขา เพียงแต่คำยืนยันทิ้งท้ายไว้เท่านั้นว่า
“เราคงจะสนับสนุนองค์การเกษตรกรและองค์กรชุมชนให้เป็นเจ้าของกิจการปั๊ม ร้านค้า และรถขนส่งน้ำมันบางจากฯ ต่อไปโดยเฉพาะ 3 ปีข้าง”
แล้วอย่างนี้ รางวัลบริษัทพัฒนาเพื่อสังคมดีเด่น กับรางวัลนักธุรกิจผู้ปฏิบัติงานเพื่อสังคมดีเด่น จะหนีไปไหนถ้าไม่ใช่ บางจากฯ และโสภณ สุภาพงษ์
|