Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2539
ถึงเวลายักษ์ใหญ่รีดไขมัน             
 





เมื่อต้องเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อหาซื้ออาหารให้แมวตัวโปรด เดิร์ค เจเกอร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล (พีแอนด์จี) ถึงกับยืนงงเป็นไก่ตาแตกค่าที่มีสินค้าให้เลือกมากมายเหลือเกิน

นับแต่นั้น “เรียบง่ายไม่ซับซ้อน” ก็กลายเป็นคำขวัญประจำใจเจเกอร์

ยิ่งถึงตอนนี้ เจเกอร์ยิ่งห่วงว่าทางเลือกที่มากมายรังแต่จะทำให้ลูกค้าตาลาย พาลทำให้ลูกค้าหมดสิ้นความจงรักภักดีที่มีต่อแบรนด์เนมของบริษัท ขณะที่ความโดดเด่นของตัวแบรนด์เนมเองก็จะถูกกลืนหายไปด้วย

คำถามก็คือพีแอนด์จีสามารถโละแบรนด์เล็กแบรนด์น้อยออกไปโดยที่ยอดขายยังคงตรงตามเป้าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2000 ได้หรือไม่ เส้นชัยดังกล่าวตีความหมายได้ว่า แต่ละปีพีแอนด์จีต้องดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น 9% แต่หากพิจารณาจากตัวเลขล่าสุดในปีการเงิน 1996 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายนจะเห็นว่ายอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นแค่ 5.4% เป็น 35,300 ล้านดอลลาร์มิหนำซ้ำในไตรมาสสุดท้ายยังขยับขึ้นเพียง 0.9% เท่านั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พีแอนด์จีต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือการเข็นยอดขายและกำไรให้เพิ่มขึ้น 2 เท่าภายใน 10 ปี

“เราต้องการที่จะมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นบนชั้นโชว์สินค้ามีโอกาสได้รับใช้ผู้บริโภค” จอห์น เป๊ปเปอร์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารพีแอนด์จี เปิดใจ

แต่ถ้ายักษ์ใหญ่ในวงการคอนซูเมอร์โปรดักท์เมืองลุงแซมรายนี้ ยังขืนส่งผลิตภัณฑ์ลงทดสอบตลาดคราวละ 81 ชนิดเหมือนที่เป็นอยู่ขณะนี้ดูเหมือนว่าความหวังของเป๊ปเปอร์ที่อยากเห็นผลิตภัณฑ์ของพีแอนด์จีรองอันดับท็อป 3 ในทุกแขนงคงเป็นไปได้ยากยิ่ง

เป๊ปเปอร์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าความคาดหวังดังกล่าวมาจากการพุ่งความสนใจไปที่เทคโนโลยีที่เป็นต่อคู่ต่อสู้ของพีแอนด์จีดังจะเห็นได้จากสายผลิตภัณฑ์ “ไทด์” “แพมเพอร์ส” และ “เครสต์” ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในตลาดเหล่านั้น

อย่างไรก็ดีการอาศัยความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีตลอดจนการค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์ และการทดสอบตลาดกลับทำให้พีแอนด์จีเสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย

เป๊ปเปอร์ยอมรับว่า ปีแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่งสืบต่อจากเอ็ดวิน อาร์ซต์ค่าใช้จ่ายด้านค้นคว้าวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มขึ้นถึง 6% โดยบริษัทหันไปตัดงบในส่วนอื่นๆ แทนโดยปีที่แล้ว พีแอนด์จียื่นขอสิทธิบัตรถึง 17,000 ฉบับเทียบกับปีก่อนหน้าที่ตัวเลขดังกล่าวมีเพียง 14,000 ฉบับเท่านั้น

ด้านผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจให้คำปรึกษากลับไม่ปลื้มกับความเพียรพยายามของพีแอนด์จีเท่าใดนัก แกรี่ สตีเบลแห่งนิวอิงแลนด์ คอนซัลติ้งติงว่าช่วงที่ผ่านมา พีแอนด์จีรุกขยายตัวด้วยการซื้อธุรกิจใหม่ๆทั้งๆที่บริษัทขนาดพีแอนด์จีสามารถสร้างสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง

ปลายทศวรรษที่แล้ว พีแอนด์จีเคยตัดสินใจผิดคิดว่าผ้าอ้อมสำหรับเด็กหัดเดินไม่น่าจะขายได้ ผลก็คือคิมเบอร์ลี่ย์ คล๊าร์ก คว้าพุงปลาในตลาดผ้าอ้อมเด็กมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ไปกินอร่อยลิ้นตามลำพัง

แถมส่วนแบ่งในตลาดยาสีฟันสหรัฐฯ ของพีแอนด์จีที่ตกรูดเหลือแค่ 28% ในขณะนี้ยังถูกยกให้เป็นความผิดของการวิจัยตลาดที่ด่วนสรุปว่าผู้บริโภคไม่ชอบยาสีฟันที่มีเบคกิ้งโซดาและเพอร็อกไซด์ ชัยชนะจึงตกเป็นของผู้มีสายตากว้างไกลนามคอลเกต ปาล์มโอลีฟ

และขณะที่พีแอนด์จีซุ่มทดสอบสายผลิตภัณฑ์ไทด์ เทสเมนต์ในช่วงปีที่ผ่านมา ปรากฎว่ายูนิลีเวอร์ คู่แข่งลูกผสมอังกฤษ-ฮอลแลนด์กลับชิงออกสินค้าประเภทเดียวกันเสริมแบรนด์วิสค์ของตัวเองปูพรมทั่วสหรัฐฯไปเรียบร้อย

เจย์ ฟรีดอม ผู้จัดการพอร์ตของลินคอล์น แคปิตอลแมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของพีแอนด์จีเตือนสติว่า “แต่ก่อนผลิตภัณฑ์ใหม่จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวในอเมริกาและทำให้เกิดการเติบโตในไลน์นั้นๆช่วยดันส่วนแบ่งตลาดและเปิดลู่ทางใหม่ๆแต่สำหรับตอนนี้สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญน้อยมากต่อพีแอนด์จี และจะเป็นการเสี่ยงน้อยลงถ้าบริษัทจะนำจุดแข็งของตัวเองออกไปแข่งขันในระดับโลก”

และหนึ่งในจุดแข็งระดับโลกของพีแอนด์จีในขณะนี้ก็น่าจะเป็นมันฝรั่งทอดพริงเกิลรุ่นใหม่ปลอดไขมัน (ใช้สารทดแทนไขมันออเลสตรา) และเครื่องสำอางตระกูลออยล์ออฟอูลาน

พีแอนด์จียังคิดแก้หน้าในสมรภูมิยาสีฟัน โดยการเปิดตัวยาสีฟันผสมเบคกิ้งโซดาและเพอร็อกไซด์ชนกับยาสีฟันของคอลเกตยี่ห้อโททัลเวอร์ชั่นใหม่ในแดนอินทรี

ประสบความสำเร็จมาก็มาก หน้าแตกมาก็หลายหนแต่นับจากวันนี้ เจเกอร์และเป๊ปเปอร์จะถือหางเสือนำพีแอนด์จีไปโลดขนาดไหน เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันต่อไป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us