Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2545
พันธบัตร "ช่วยชาติ" ทางเลือกสำหรับผู้มีเงินออม             
 





แนวทางแก้ปัญหากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) ด้วยการออกพันธบัตร ซึ่งเป็นการระดมเงินออม (ระยะยาว) จากประชาชนมาใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นแนวทางที่คนส่วนมากเห็นด้วย รวมทั้งฝ่ายค้าน ซึ่งอดีต รมว.คลัง นายธารินทร์ นิมมาน เหมินท์ ก็อภิปรายสนับสนุนในเรื่องนี้ โดยบอกด้วยว่า เป็นแนวทางเดียวกับที่เขาเคย ทำมาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ก็เคย ออกกฎหมายเพื่อให้มีการออกพันธบัตร จำนวน 5 แสนกว่าล้านบาท เพื่อใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ บางส่วนไปแล้วในปี 2541

ในการออกพันธบัตร 300,000 ล้าน บาทเพื่อมารีไฟแนนซ์หนี้บางส่วนในครั้งนี้นั้น แน่นอนว่าพันธบัตรจำนวนนี้ต้องเข้า มาสร้างความสับสนในตลาดเงินระยะหนึ่ง แม้ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) นางธาริษา วัฒน เกส จะอธิบายเรื่องนี้ว่าเป็นการโยกเงินจาก ที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งคือ การโอนเงินจากเงิน ฝากไปยังพันธบัตรรัฐบาล และรัฐบาลก็นำ เงินมาให้กองทุนฟื้นฟูฯ และกองทุนฟื้นฟูฯ นำไปชำระคืนในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/ พี) ซึ่งทำให้เงินไหลกลับธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นในด้านอุปสงค์อุปทานไม่เปลี่ยน แปลง แต่ทำให้สภาพคล่องส่วนเกินหายไป

ธปท.ได้พยายามจำกัดจุดที่จะก่อ ให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดเงิน และตลาดพันธบัตร แต่กระนั้นตลาดก็ยังคงมีความกังวลอยู่ดี และมองกันว่าการออก พันธบัตรลอตนี้ยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในตลาดอยู่ (ปลายสัปดาห์ก่อนที่จะมีการประกาศเรื่องพันธบัตร 3 แสนล้านบาท อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มสูงขึ้น 0.08% ตอบรับข่าวนี้) รวมทั้งมองด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าตลาดในตอนนี้ (สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ประมาณ 0.6% - 0.8%) จะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในการออกพันธบัตรอื่นๆ

ธปท.กำหนดขายพันธบัตรกองทุน ฟื้นฟูฯ ล็อตนี้ให้แก่ประชาชนทั่วไป สหกรณ์ มูลนิธิและองค์กรการกุศล เพื่อสาธารณประ- โยชน์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้จากผล ประโยชน์ในเงินต้น โดยกำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำ ไว้ที่ 50,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าเป็นวงเงินที่สูง พอสมควร คนที่จะลงทุนต้องมีเงินเก็บเงินออม และต้องถือยาวกว่า 1 ปีจึงจะได้ผลตอบแทน ที่คุ้มค่าเงินลงทุน ซึ่งก็มีผู้ห่วงว่า ธปท.จะระดม เงินได้ครบตามที่ต้องการหรือเพราะเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาลอยู่

หากจะให้ดี ธปท.ควรทำ ความเข้าใจกับประชาชนและนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้มาก กว่านี้ โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ ที่นักลงทุนจะได้รับ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ แก่ ธปท.ด้วย เพราะในเรื่องของกฎหมาย เชื่อแน่ว่ารัฐบาลคงผลักดันออกมาได้ สำเร็จ แต่ในเรื่องของภาวะตลาดนั้น มี ความผันผวนและอ่อนไหวเกินกว่าความ ควบคุมของรัฐบาล

สำหรับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ดังกล่าว จะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร รัฐบาล ที่ขายในตลาดรองบวกอัตราที่ กำหนดให้ใหม่ ซึ่งคาดว่าพันธบัตร 5 ปี จะมีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับดอกเบี้ยพันธบัตร รัฐบาล 5 ปี ที่ขายกันในตลาดรอง (ณ วัน ที่ 25 มิ.ย.) + ส่วนต่างกำไรประมาณ 0.6% หรือ 3.63 + 0.6% = 4.23% ส่วนพันธบัตร 7 ปี มีอัตรา 4.71 + 0.7% = 5.41% และ พันธบัตร 10 ปีเท่ากับ 5.44 + 0.8% = 6.24% และเสียภาษีเงินได้ตามอัตราภาษี พันธบัตรรัฐบาลตามปกติ แต่รายรับรวม ที่ได้ก็ถือว่ายังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารพาณิชย์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธปท.จะไม่กำหนดว่า จะแบ่ง ขายพันธบัตรแต่ละอายุในวงเงินเท่าไร แต่ขึ้นกับความต้องการของประชาชนเป็น หลัก หากแสดงความจำนงจะซื้อพันธบัตร ระยะยาวจำนวนวงเงินเท่าไรก็จะขายตาม นั้น ดังนั้น ประชาชนที่ต้องการซื้อพันธบัตร จะต้องกำหนดวงเงินและคำนวณระยะเวลา การใช้เงินของตนเองว่า ต้องการไถ่ถอน มาใช้ เมื่อมีวัตถุประสงค์ใด หากเป็นการ ออม เพื่อใช้ใน 7 ปีข้างหน้า เช่น เพื่อการ ศึกษาของบุตร ก็ให้ซื้อพันธบัตรอายุ 7 ปี

การที่นักลงทุนหรือผู้ออมเงินจะตัด สินใจซื้อพันธบัตรหรือไม่ คงต้องพิจารณา ใน 2 ทางคือ แนวโน้มดอกเบี้ยอนาคตที่ อาจจะสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน และความเสี่ยง ของการบริหารเงินออม หากเห็นว่า อนาคต ดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ก็สามารถเลือกลงทุน ในสิ่งที่ได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า แต่ในช่วงปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ 1-2 ปี หรือ 2-3 ปีนี้ จะต้องยอมรับดอกเบี้ย และผลตอบแทนในอัตราต่ำก่อน ซึ่งก็คง ต้องคำนวณกันเองว่า คุ้มหรือไม่กับการซื้อ พันธบัตรในขณะนี้ และได้รับผลตอบแทน ที่มากกว่าตลาดตั้งแต่ปัจจุบัน แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ธปท.จะออกตารางที่คำนวณ ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับตามอายุ พันธบัตร และจะบอกด้วยว่าหากมีการ ไถ่ถอนก่อนกำหนด จะถูกปรับอย่างไร หรือ จะได้เงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนเท่าใด

อย่างไรก็ตาม ประชาชน สหกรณ์ ออมทรัพย์ และมูลนิธิ ซึ่งมีสิทธิซื้อพันธบัตรนั้น หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินใน ระหว่างที่พันธบัตรยังไม่หมดอายุ แต่ต้อง ถือไว้เกิน 1 ปีขึ้นไป จึงนำมาขายคืนให้กับสถาบันการเงินทุกแห่งได้ แต่ต้องลดราคาจากวันซื้อตามดอกเบี้ยที่อาจจะได้รับ เกินไปจากการคำนวณจ่าย ซึ่งธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินที่ซื้อพันธบัตร คืนมีทางเลือก 3 ทาง คือ ถือไว้เองจนหมดอายุก็ได้ดอกเบี้ยไป หรือนำไปขายต่อ ให้ประชาชนที่ต้องการซื้อ หรือนำมาขาย คืน ธปท.ทันที

หากพิจารณาดูจากอัตราผลตอบแทน แล้ว ก็ถือว่าดีกว่าอัตราดอกเบี้ยของเงินฝาก ในธนาคารแน่นอน เพียงแต่ว่านักลงทุนควร ดูความจำเป็นในการใช้เงินของแต่ละคน เพื่อพิจารณาว่าจะซื้อพันธบัตรรุ่นใดดี จะได้จัดให้สอดคล้องกับความจำเป็น


รายละเอียดพันธบัตรช่วยชาติ

ราคาจำหน่าย :

หน่วยละ 10,000 บาท ซื้อครั้งละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท และไม่มีวงเงินสูงสุด

การจ่ายดอกเบี้ย :

ปีละ 2 งวด คือวันที่ 2 มีนาคม และ 2 กันยายน ของทุกปี ตลอดอายุพันธบัตร

การเสียภาษี :

ตามอัตราที่ประกาศไว้ในประมวลรัษฎากร เช่น บุคคลธรรมดา 15% ทุกครั้งที่มีการจ่ายดอกเบี้ย ธปท.จะหักภาษี ณ ที่จ่าย และสำหรับบุคคลธรรมดาสามารถเลือกได้ว่าจะไปรวมคำนวณภาษี ณ สิ้นปีหรือไม่ กำหนดชำระคืนเงินต้น ธปท.จะโอนเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากประจำ) ของผู้ทรงสิทธิ์ที่ฝากไว้ที่ธนาคารใดก็ตามที่แจ้งไว้ในใบคำขอรับคืนเงินต้น โดยพันธบัตรอายุ 5 ปี กำหนดชำระคืน 2 กันยายน 2550, อายุ 7 ปี กำหนดชำระคืน 2 กันยายน 2552 และอายุ 10 ปี กำหนดชำระคืน 2 กันยายน 2555

การขายคืนก่อนครบกำหนด : ผู้ถือพันธบัตรสามารถขายคืนก่อนครบกำหนด ตั้งแต่ 2 กันยายน 2546 เป็นต้นไป โดย ธปท.จะระบุราคาขายคืนก่อนกำหนดตามช่วงเวลา

การใช้พันธบัตรออมทรัพย์เป็นหลักประกัน :

ผู้ถือพันธบัตรออมทรัพย์สามารถใช้พันธบัตรออมทรัพย์ เป็นหลักประกันให้กับหน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ เช่น การประกันทางศาล หรือการประกันไฟฟ้า และสามารถใช้พันธบัตรออมทรัพย์เป็นหลักประกันในการกู้เงินจากธนาคาร

การโอนกรรมสิทธิ์ :

กระทำได้ตั้งแต่ 2 กันยายน 2546 ยกเว้นผู้ที่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์ เป็นหลักประกัน ให้กระทำได้หลังจากได้รับพันธบัตรแล้ว แต่จะกระทำได้ในระหว่าง 15 วัน ก่อนวันถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นไม่ได้

การกำหนดอัตราดอกเบี้ย :

อัตราดอกเบี้ยบนหน้าพันธบัตร จะอิงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุเท่ากันในช่วงที่ออกพันธบัตรออมทรัพย์ บวกเพิ่มประมาณ 60, 0.70 และ 0.80% สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 5, 7 และ 10 ปี ตามลำดับหรือพันธบัตร 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.63 + 0.6% = 4.23%, พันธบัตร 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.71 + 0.7% = 5.41% และพันธบัตร 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.44 + 0.8% = 6.24%

ผู้มีสิทธิ์ซื้อ :

บุคคลธรรมดา สหกรณ์ มูลนิธิ และนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศล การศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน

สถานที่แจ้งความประสงค์ขอซื้อและจำหน่ายพันธบัตร :

ผู้ซื้อสามารถติดต่อที่สำนักงานใหญ่และสาขาของธนาคารออมสิน และธนาคารพาณิชย์ไทย 13 แห่ง โดยพันธบัตรออมทรัพย์ไม่มีจำหน่ายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us