Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2539
ซูมิโตโมช็อกโลก จากการขาดทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์             
 





ในช่วงเดือนมิถุนายน 1996 วงการการเงินระหว่างประเทศก็ต้องตกอยู่ในอาการช็อกอีกครั้งเมื่อปรากฎข่าวการขาดทุนของบริษัทเทรดดิ้งด้านอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น จากการค้าสัญญาล่วงหน้าและสัญญาสิทธิทองแดง (Copper Futures & Option) ในตลาดโลหะลอนดอน (London Metal Exchange : LME) เป็นเงินสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 45,000 ล้านบาทเมื่อเทียบกับการขาดทุนของอิกูชิเทรดเดอร์ค้าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแห่งธนาคารไดวาจำนวน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 27,500 ล้านบาท) หรือแม้แต่กรณีการขาดทุนของธนาคารแบริ่งสจากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ SIMEX มูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 32,500 ล้านบาท) ด้วยฝีมือของนิโคลัส ลีสันจนเป็นเหตุให้ธนาคารเก่าแก่กว่า 2 ศตวรรษของอังกฤษถึงขั้นปิดกิจการและขายสินทรัพย์ทั้งหมดให้กับ ธนาคาร ING สัญชาติดัชต์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1995 ที่ผ่านมา

กรณีอื้อฉาวทางการเงินนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเพียง 16 เดือนหลังจากที่ธนาคารแบริ่งส์ล้มละลายและในครั้งนี้เป็นฝีมือของ ยาสุโอะ ฮามานากะหัวหน้าทีมเทรดเดอร์วัย 48 ปีซึ่งมีหน้าที่ซื้อขายทองแดงในตลาดระหว่างประเทศเพื่อนำไปขายต่อให้แก่บริษัทในเครือของซูมิโตโมและบริษัทอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเขาได้ทำหน้าที่นี้ติดต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง 23 ปี

ฮามานากะถือเป็นเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและทรงอิทธิพลอย่างมากในตลาดทองแดงระหว่างประเทศเพราะในแต่ละปีซูมิโตโมโดยฝีมือของฮามานากะจะเข้าไปซื้อทองแดงจากตลาดโลกเป็นปริมาณที่สูงมากเฉลี่ยตกปีละ 800,000 ตันขณะเดียวกันซูมิโตโมยังเป็นผู้กุมซัปพลายทองแดงของโลกอยู่ถึง 8% ซึ่งไม่รวมถึงส่วนแบ่งที่มีอยู่ในตลาดจีน และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก

ความเชี่ยวชาญในการค้าทองแดงของฮามานากะเป็นที่ยอมรับของบุคคลในวงการเป็นอย่างมาก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพูดไว้ว่า ซูมิโตโมมีความเชี่ยวชาญอย่างเยี่ยมยอดในการบริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อขายทองแดง

ด้วยกลยุทธ์การซื้อขายที่หนักหน่วงทั้งในด้านปริมาณและราคา ทำให้เขาสามารถสยบคู่ต่อสู้ทุกรายได้อย่างราบคาบ ฮามานากะได้ชื่อว่าเป็นเทรดเดอร์ผู้ซึ่งไม่เคยปราณีคู่ต่อสู้ บีบคั้นคู่แข่งด้วยคำสั่งซื้อ-ขายจำนวนมหาศาลจนทำให้เขากลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลครอบงำตลาดขณะเดียวกันเขายังใช้วิธียืมมือโบรกเกอร์เล็กๆเป็นแหล่งเงินทุนในการซื้อขาย เช่นกลุ่ม Winchester Commodity โบรกเกอร์อังกฤษที่เริ่มดำเนินกิจการเมื่อปี 1991 แต่ในปี 1994 บริษัทสามารถจ่ายเงินให้แก่พนักงานเป็นจำนวนถึง 55 ล้านปอนด์หรือ 84 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,100 ล้านบาท) เช่นเดียวกับบริษัทโบรกเกอร์อเมริกัน Global Minerals and Metals Corporation ที่กลายเป็นช่องทางในการทำมาหากินของฮามานากะในช่วงกลางปีที่แล้ว (1995) แม้ว่าทั้ง 2 บริษัทจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ตาม

นอกจากนี้ในวงการยังได้เรียกขานเขาว่า ‘Mr 5%’ ทั้งนี้เพราะเขาและลูกทีมกุมส่วนแบ่งตลาดทองแดงโลกไว้ได้ไม่น้อยกว่า 5% ของตลาดรวมทั้งหมด จากบทบาทดังกล่าวของเขาจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม ฮามานากะจึงสามารถกระทำในสิ่งที่โลกตะลึงได้

ด้วยความที่เป็นคนมุมานะในการทำงานจนถึงขั้นเรียกว่า “บ้างาน” ซึ่งบ่อยครั้งเขาทำงานอยู่จนถึงตีสามเพื่อทำธุรกรรมในตลาดนิวยอร์กและลอนดอน ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่สร้างกำไรที่เป็นกอบเป็นกำจำนวนมหาศาลให้กับบริษัทอย่างน้อยก็บนแผ่นกระดาษ ซึ่งเป็นผลให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นี้อย่างต่อเนื่องยาวนานไม่ได้มีการโยกย้ายเหมือนผู้บริหารคนอื่นและในบัญชีของเขายังแสดงให้เห็นว่าแผนกของเขามีเงินสดสำรองมากกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงไม่มีใครอาจหาญเข้าไปตรวจสอบการทำธุรกรรมของเขาอย่างใกล้ชิดมากนักในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา

อำนาจหน้าที่ที่ไม่ธรรมดาที่เขาได้รับมอบหมายจากบริษัท ตลอดจนความหละหลวมในการตรวจสอบดูแล ได้กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เขาสามารถลักลอบทำสมุดบัญชีขึ้นมา 2 เล่ม เล่มหนึ่งแสดงถึงผลกำไรที่งดงามจากการซื้อขายทองแดงรวมทั้งสัญญาล่วงหน้าและสัญญาสิทธิทองแดง ขณะที่อีกบัญชีหนึ่งเป็นตัวเลขบันทึกการขาดทุนเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้ถึงเรื่องดังกล่าวเลย

“ฮามานากะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากจากธุรกิจที่เขานำเข้ามาให้แก่ตลาด เขาเป็นคนที่ได้รับมอบหมายหน้าที่อย่างใหญ่หลวงจากบริษัทของเขาและก็มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางการนอกญี่ปุ่นเท่านั้นที่จับตาดูแลเขา” เคนิชิ โยชิดะ นักวิเคราะห์จากศูนย์วิจัยนิกโก้ กล่าว

ผลจากการขาดทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ทำให้ภาพพจน์ของฮามานากะจากเจ้าพ่อเขี้ยวลากดินในตลาดทองแดงกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ไร้ฝีมืออย่างไม่น่าเชื่อทั้งนี้เพราะตลาดโลหะเป็นตลาดที่ค่อนข้างเล็กมาก ยิ่งไปกว่านั้นอิทธิพลของซูมิโตโมในตลาดทองแดงที่สั่งสมมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆในศตวรรษที่ 17 ก็มากจนไม่อาจหาใครเทียบได้ ดังนั้นการซื้อขายจนขาดทุนเป็นจำนวนเงินสูงถึง 45,000 ล้านบาทจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก

หลังจากความลับของฮามานากะที่เก็บงำไว้เป็นระยะยาวนานกว่า 10 ปีถูกเปิดโปงออกมาเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนโดยบริษัทเทรดดิ้งรายใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่นที่เรียกว่า SOGO SHOSHA ส่งผลให้ราคาทองแดงในตลาดดิ่งลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วและภายหลังจากนั้นบริษัทต้นสังกัดซูมิโตโม โดยประธานบริษัทก็ได้ออกมาประกาศยอมรับการขาดทุนอย่างเป็นทางการในงานแถลงข่าวประจำปีที่โตเกียวเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาทองแดงในตลาดโลกดิ่งลงถึง 15% ทั้งๆที่ ประธานบริษัท อะกิยามายืนยันว่าเงินที่สูญไป 45,000 ล้านบาทนี้ไม่ได้ทำให้บริษัทถึงกับต้องล้มละลายเหมือนอย่างแบริ่งส์ที่ประสบชะตากรรมนั้น ทั้งนี้เพราะบริษัทมีสินทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นมากถึง 50 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1,250,000 ล้านบาททีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายได้ตั้งข้อสังเกตว่าเม็ดเงินจำนวน 45,000 ล้านบาทอาจจะไม่ใช่จำนวนเงินจริงที่ซูมิโตโมขาดทุนเพราะหลังจากที่บริษัทประกาศเรื่องนี้ให้สาธารณชนได้รับทราบราคาทองแดงได้ดิ่งลงอย่างรุนแรง ซึ่ง ณ เวลานี้ยังไม่มีใครทราบว่าซูมิโตโมจะขาดทุนจากสัญญาล่วงหน้าที่มีอยู่ในมือเพิ่มขึ้นเป็นเงินเท่าไหร่และบริษัทเองก็ไม่ได้บอกกล่าวในเรื่องนี้เพียงแต่อ้างว่าบริษัทไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าวเท่านั้น แต่การที่บริษัทยกเลิกแผนการที่จะซื้อหุ้นคืนในจำนวน 20 ล้านหุ้นและระงับโบนัสที่จะให้แก่ผู้จัดการอาวุโสเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบริษัทจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อนำมาอุดการขาดทุนครั้งนี้

ประเด็นหนึ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังการขาดทุนที่เกิดขึ้นรวดเร็วราวสายฟ้าแลบในตลาดระหว่างประเทศนี้คือว่าบทบาทและอิทธิพลของซูมิโตโมในตลาดทองแดงโลกจะถึงกาลอวสานหรือไม่ และการซื้อขายเป็นจำนวนเงินมหาศาลนี้ได้รับการสอดส่องดูแลจากหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทผู้ค้าเอง โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นดีเพียงพอหรือไม่

ในวันแถลงข่าวประจำปีของบริษัทซูมิโตโมที่สำนักงานใหญ่ในกรุงโตเกียวเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โตมิอิชิ อากิยามาประธานบริษัทได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยาสุโอะ ฮามานากะก็ถูกไล่ออกจากงานในข้อหาดำเนินการทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่มาเป็นระยะเวลาถึง 10 ปีโดยทำบริษัทขาดทุนเป็นจำนวนเงินถึง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การทำธุรกิจ 2 ทางของฮามานากะเริ่มเผยให้เห็นเมื่อเดือนธันวาคม 1995 เมื่อสำนักงาน COMMODITY FUTURES TRADING COMMISSION (CFTC) ของสหรัฐและ SECURITIES AND INVESTMENT BOARD (SIB) ของอังกฤษซึ่งมีหน้าที่ดูแลตลาดสินค้าโภคภัณฑ์นิวยอร์กและลอนดอน ขอความร่วมมือไปยังซูมิโตโมให้สืบสวนเกี่ยวกับเรื่องการสร้างราคาทองแดงที่ต้องสงสัย ในเวลาต่อมาทางซูมิโตโมก็ได้เริ่มต้นสืบสวนภายในบริษัทของตนเอง

อะกิยามา กล่าวอ้างว่าผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัทได้ตรวจพบการทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนในต้นเดือนพฤษภาคม โดยมีการส่งเงินจำนวนหนึ่งไปยังธนาคารต่างประเทศที่ไม่เปิดเผยชื่อแห่งหนึ่ง ซึ่งอะกิยามา กล่าวว่าการซื้อขายครั้งนั้นมีมูลค่าไม่มากนัก แต่รายงานชิ้นนั้นเป็นเสมือนการกรุยทางไปยังสำนักงานของฮามานากะ ที่ชั้น 3 ของสำนักงานใหญ่ข้างพระราชวังอิมพีเรียลในกรุงโตเกียวและในวันที่ 9 พฤษภาคมบริษัทได้มีคำสั่งย้ายฮามานากะไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปของแผนก NON-FEROUS METALS DIVISION ทันทีโดยทำเสมือนหนึ่งเป็นการเลื่อนตำแหน่ง

ในวันที่ 5 มิถุนายน ฮามานากะก้มหัวคารวะยอมรับอย่างจำนนและสารภาพต่อผู้บริหารของบริษัทว่าเขาได้กระทำการซื้อขายโดยไม่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อพลิกฟื้นการขาดทุนที่พอกพูนสะสมมากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็เป็นความพยายามที่ไร้ความหมายพร้อมกันนั้น ฮามานากะยังได้แสดงรายละเอียดบันทึกการทำธุรกรรมที่เก็บเป็นความลับให้แก่ผู้บริหารของบริษัทด้วย

“มันอยู่นอกสมุดบัญชีการซื้อขายและบริษัทเองก็คิดไม่ออกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะมันถูกเก็บไว้อย่างแยบยลมาก” อะกิยามากล่าว

ในกลางเดือนพฤษภาคม กลุ่มบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มเทขายทองแดงออกมาโดยคาดการณ์ว่า ซูมิโตโมจะเข้ามารองรับและพยุงราคาไว้เหมือนเช่นที่ผ่านมา แต่การณ์กลับตาลปัตร ภายในระยะเวลาเพียง 4 วันราคาทองแดงดิ่งลงถึง 15% ตลาดทองแดงระหว่างประเทศตกอยู่ภาวะโกลาหล

ทำอย่างไรเขาจึงปิดบังไว้ได้ถึง 10ปี?

ในฐานะประธานบริษัทอะกิยามา ยอมรับว่าฮามานากะเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญและมีความชำนาญในงานอย่างชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่งและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ได้ถูกย้ายไปทำหน้าที่อื่นเลยนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาทำงานในบริษัทนี้

ความสำเร็จที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนที่เกิดจากฝีมือระดับพระกาฬของฮามานากะคือในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเขาสามารถรักษาระดับราคาทองแดงไว้ในระดับสูงได้โดยไม่ต้องอิงอยู่กับความเป็นจริงทั้งๆที่ในช่วงเวลาดังกล่าวราคาสินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐานอยู่ในภาวะที่ตกต่ำมาเป็นเวลาช้านานแล้ว “ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ราคาทองแดงได้ขยับตัวสูงขึ้นอย่างที่หลายคนไม่อาจเข้าใจได้ แต่ในที่สุดเราก็ได้กลิ่น” นิคมอร์ นักวิเคราะห์จาก FLEMING GLOBAL MINING GROUP ในลอนดอนให้ความเห็น

การที่ราคาทองแดงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ เป็นเสมือนแรงจูงใจกระตุ้นให้ผู้ผลิตโลหะหันมาเปิดเหมืองใหม่เพิ่มมากขึ้นจนเป็นผลให้ทองแดงล้นตลาดโลกและตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ราคาทองแดงเริ่มไหลรูดลงประมาณ 25% จนถึงระดับ 2,145 เหรียญสหรัฐต่อตัน(เป็นเงินไทยประมาณ 53,625 บาทต่อตัน) ซึ่งมีนักวิเคราะห์พยากรณ์ว่า ผู้ผลิตใหญ่ๆหลายรายอาจจะต้องสั่งปิดการผลิตลงอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวเป็นที่จับตามองของทางการสหรัฐฯและอังกฤษ ซึ่งทั้งสองบริษัทอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนในทางอาญาในอังกฤษ มีการประกาศทบทวนกฎระเบียบของตลาดโลหะเพราะพนักงานสอบสวนต้องการรู้คำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าฮามานากะทำขาดทุนไปได้อย่างไร และมีการขาดทุนในช่องทางไหนบ้างและเขาสามารถซุกซ่อนไว้ได้อย่างไรและบริษัทรู้อะไรบ้างและเมื่อไหร่

ด้านซูมิโตโมอ้างว่า บริษัทได้เคยตรวจพบการซื้อขายที่ไม่ถูกต้องตามครรลองของฮามานากะครั้งหนึ่ง และก็ได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯและอังกฤษในทันทีต่อมาผู้บริหารของบริษัทจำนวนหนึ่งได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ (มิติ) ของญี่ปุ่นพร้อมทั้งได้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯและอังกฤษ ก่อนที่จะตัดสินใจจัดแถลงข่าวขึ้นอย่างเป็นทางการในปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

มีการตั้งข้อสังเกตว่าการตัดสินใจยอมรับผิดในเวลาอันรวดเร็วเมื่อเทียบกับกรณีของธนาคารไดว่าเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเหมือนกับที่เกิดกับไดวา ซึ่งทางการสหรัฐฯได้สั่งปิดการดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯทั้งหมด เนื่องจากธนาคารได้ปิดบังกิจกรรมที่ไม่สุจริตของเทรดเดอร์หลังจากที่ทราบเรื่องแล้วหลายเดือน

“ซูมิโตโมบอกว่า บริษัทได้ตรวจพบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนแต่ก็รอเวลาตั้งอาทิตย์ครึ่งจึงประกาศให้สาธารณชนรับทราบ พวกเขาต้องการประวิงเวลาเพื่อคำนวณยอดขาดทุนและการที่ออกมาแถลงข่าวก่อนหน้าหลายวันเพราะต้องการป้องกันไม่ให้ราคาทองแดงตกลงไปตามกระแสข่าวลือและความไม่แน่นอนไปมากกว่านี้” โตโมยาสุ คาโตะนักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยโนมูระ ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทซูมิโตโมแสดงทัศนะอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

ประมาณปลายเดือนเมษายน 1996 ทั้ง SIB และ CFTC ได้เริ่มเข้าไปตรวจสอบตลาดทองแดง โดยพยายามเข้าไปกดดันราคาในตลาดซื้อขาย ณ เวลานั้น (Spot Market) ด้วยการจำกัดอุปสงค์ของทองแดงและเมื่อสามารถควบคุมจุดนี้ได้แล้ว จึงมีการมุ่งประเด็นไปที่บริษัทญี่ปุ่น ซึ่งซูมิโตโมเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญโดยเฉพาะเรื่องการสร้างราคาทองแดงก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1991 ทางซูมิโตโมได้รับคำเตือนเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อขายทองแดงจากเจ้าหน้าที่ทางการต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจาก LME ได้รับการร้องเรียนจากโบรกเกอร์รายหนึ่ง DAVID THRELKELD ว่าฮามานากะได้ขอร้องให้เขาออกใบเรียกเก็บเงิน ซึ่งไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริงและในปี 1994 ซูมิโตโมได้รับการติดต่อจากทางการอังกฤษถึงพฤติกรรมของฮามานากะอีกครั้ง ในระหว่างการสืบสวนมีการล้วงลึกลงไปถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มวินเชสเตอร์ กับนักค้าทองแดงของโคเดลโค (CODELCO) บริษัทผู้ผลิตทองแดงยักษ์ใหญ่ของชิลี แต่ไม่ปรากฎหลักฐานการกระทำผิดแต่อย่างใด ทว่าจากการสืบสวนของ Securities and Futures Authority (SFA) ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งของอังกฤษกลับพบว่ากลุ่มวินเชสเตอร์สามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมากจากการทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์ให้กับซูมิโตโม

ด้านซูมิโตโมเองก็ทราบดีว่าบริษัทของตนตกเป็นเป้า แต่สิ่งที่บริษัทดำเนินการก็คือการโยกย้ายฮามานากะไปยังฝ่ายอื่นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม และต่อจากนั้นก็ไม่มีการสืบสวนหรือค้นหาความจริงให้ลึกซึ้งลงไป ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ทางการอังกฤษจึงได้ติดต่อมายังกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นซึ่งเป็นหน่วยงานสูงสุด ซึ่งวิธีนี้ดูเหมือนจะได้ผลเพราะในวันที่ 5 มิถุนายน บริษัทก็ตรวจพบการขาดทุนของฮามานากะ แต่อย่างไรก็ตามหากมีการสร้างราคาเกิดขึ้นจริง น่าจะเป็นวิถีทางที่ทำเงินให้แก่บริษัทมากกว่าขาดทุน

การที่ฮามานากะสามารถปกปิดการขาดทุนของเขาไว้ได้ถึง 10 ปีทั้งๆที่มีอำนาจในการสั่งซื้อและชำระด้วยตนเอง มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้ 2 ประการคือประการแรก ฮามานากะอาจจะสามารถโน้มน้าวใจให้บริษัทเชื่อว่าบริษัทมีทองแดงอยู่ในมือทั้งๆที่ไม่มีอยู่เลย ซึ่งวิธีการนี้อาจจะมีการทำสัญญาลับๆกับบริษัทภายนอกส่วนอีกประการหนึ่งมีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าฮามานากะใช้วิธีกู้ยืมเงินเพื่อนำมาอุดการขาดทุนของเขา ทั้งนี้เพราะเขาสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารหลายแห่งโดยไม่ต้องขออำนาจจากผู้บริหารระดับสูงของซูมิโตโมเลย ซึ่งวิธีนี้ทำให้เขาสามารถจ่ายเงินค้ำประกันที่เขาจะต้องนำไปวางที่ LME เพื่อปิดบังสถานะที่ขาดทุนหรือเพื่อใช้ซื้อทองแดง

ผู้บริหารของซูมิโตโมอ้างว่าที่ผ่านมาพวกเขาทราบแต่เพียงว่ากิจกรรมของฮามานากะไม่ค่อยโปร่งใสนัก แต่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าฮามานากะเปิดบัญชีถึง 2 เล่มในลอนดอน คือที่เมอร์ริล ลินซ์และที่รูดอล์ฟ วูลฟฟ์ (RUDOLF WOLFF) บริษัทโบรกเกอร์สินค้าโภคภัณฑ์และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ปิดบัญชีทั้ง 2 แห่งหลังจากที่ทราบเรื่อง ทว่าในวันที่ 17 มิถุนายน เมอร์ริล ลินซ์ได้ออกมากล่าวว่าบัญชีทั้งหมดที่ซูมิโตโมทำขึ้นกับบริษัทเป็นบัญชีที่มีเจ้าหน้าที่อาวุโสผู้มีอำนาจเต็มและบัญชีเหล่านั้นก็มีการยืนยันอีกครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 1996

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เพิ่มความกดดันให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่นในอันที่จะต้องเข้มงวดมาตรการสอดส่องดูแลการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ให้มากขึ้นซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงมิติ (MITI)

ได้เพิ่มการควบคุมตลาดมากขึ้น โดยจะเข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นทั้งๆที่ไม่มั่นใจว่ามิติจะมีอำนาจมากพอที่จะเข้าไปตัดสินการทำธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ได้หรือไม่

“ความเสี่ยงในการพยุงธุรกิจมิให้เกิดขาดทุนมีอยู่เสมอ แต่มันจะกลายมาเป็นปัญหาเมื่อการขาดทุนเหล่านั้นเป็นผลมาจากการละเมิดกฎระเบียบ” นายกรัฐมนตรีเรียวทาดร่ ฮาชิโมโต้ได้แสดงความรู้สึกต่อเรื่องนี้ เช่นเดียวกับโฆษกรัฐบาลและหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เซโรกุ คาจิยามา ที่ให้ความเห็นว่า “เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานทางจริยธรรมของบริษัทและของคนญี่ปุ่นทั้งหมดได้ตกต่ำลง ผมมีความห่วงใยอย่างมากเกี่ยวกับคนจำนวนมากที่มีทัศนคติต่อเงิน”

ต้นตอปัญหาราคาทองแดงตกต่ำ?

การกระทำของฮามานากะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่าเป็นสาเหตุทำให้ตลาดทองแดงตกอยู่ในภาวะโกลาหลและราคาทองแดงตกต่ำเพราะเขาเป็นบุคคลที่เข้ามาสร้างราคาทองแดงให้สูงขึ้นกว่าความเป็นจริง

แต่จากการศึกษาของคริสโตเฟอร์ กิลเบิร์ก และเซลโซ บรูเนตตี้ นักเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ RESOURCES POLICY 1996 ที่ได้ทำการศึกษาการซื้อขายโลหะ 6 ประเภทในตลาด LME ได้แก่ อะลูมิเนียม ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว นิกเกิล และสังกะสี โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 1972 พบว่าความผันผวนโดยเฉลี่ยของราคาโลหะไม่ได้มีเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 1972 และในช่วง 3 ปีนับตั้งแต่ต้นปี 1993 เป็นต้นมาราคาโลหะผันผวนลดน้อยลงกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามแม้ว่างานศึกษาชิ้นนี้จะกระทำขึ้นก่อนเกิดเหตุการณ์ในตลาดทองแดง แต่การแกว่งตัวของราคาทองแดงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ราคาทองแดงก็มีความผันผวนเช่นกัน และในงานวิจัยชิ้นนี้ได้อธิบายถึงวิธีการพิจารณาความผันผวนของราคาทองแดง ว่าจะต้องดูที่ระดับความต้องการโลหะทางกายภาพเทียบกับความสามารถในการผลิตของผู้ผลิตและโลหะที่มีอยู่ในคลังสินค้าที่จะสามารถจำหน่ายออกไปได้เพราะเมื่อใดก็ตามที่กำลังการผลิตเหลือเพียงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงของความต้องการแม้จะเกิดขึ้นเพียงเล็กๆน้อยๆก็สามารถมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อราคาได้โดยในงานวิจัยชี้ว่าในช่วงปี 1973-74 และ 1987-90 ราคาโลหะมีความผันผวนมากที่สุดและยังเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำมากที่สุดด้วย

นับตั้งแต่ปีที่แล้วราคาทองแดงซึ่งถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และ UTILITY ได้ตกลงอย่างรุนแรงประมาณ 50% และ ณ ขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มขาลงของราคาทองแดงโลกจะจบลงเมื่อใดทั้งนี้เพราะระดับกำลังการผลิตยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นตามความต้องการของตลาดโลกโดยโบรกเกอร์จากBRANDEIS ซึ่งเป็นสมาชิกรายหนึ่งของ LME ประมาณการว่าในยุโรปความต้องการทองแดงจะสูงถึง 31% ของความต้องการทั้งโลก ตามด้วยสหรัฐอเมริกา 29% ญี่ปุ่น 14% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนและอินเดียอีกประมาณ 10% แต่หากพิจารณากำลังซื้อทองแดงของสหรัฐฯเพียงแห่งเดียวเมื่อปีที่แล้วประมาณการว่ามีมากถึง 2.6 ล้านเมตริกตัน

มีการประมาณการกันว่าทองแดงที่มีอยู่ทั้งหมดในตลาดโลกประมาณ ? จะนำไปใช้ทำสายไฟและสายเคเบิล เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ไฟฟ้า เครื่องจักรอุตสาหกรรมและการคมนาคมขนส่ง ดังนั้น การที่ราคาทองแดงตกต่ำผู้บริโภคผลิตภัณฑ์จำพวกนี้จะอยู่ในจุดที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างมาก ในเวลาเดียวกันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากทองแดงหลายรายก็อาจจะประสบภาวะขาดทุนจากการที่ได้ซื้อสัญญาล่วงหน้าไว้ ณ ระดับราคาที่สูงมากก่อนหน้านี้ ขณะที่อีกหลายบริษัทที่ต้องขาดทุนจากสินค้าคงเหลือที่ได้รับซื้อมาในราคาแพง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us