Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2539
ขาวและดำจัด             
 





คำตักเตือนที่ได้รับจากผู้หลักผู้ใหญ่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นวัยแรงก็คืออย่ามองโลกหรือผู้คนแบบขาวจัด-ดำจัด เพราะโลกหรือคนเรานั้นมีทั้งด้านดีและด้านเลว ดังนั้นควรจะมองให้เป็นสีเทาคือขาวกับดำคละเคล้ากันไป

ครั้นอายุมากขึ้นจนล่วงเข้าสู่วัยกลางคนเหตุการณ์ต่างๆทั้งโดยตรงและโดยอ้อมที่ได้สัมผัส ก็หล่อหลอมให้กลายเป็นคนมองโลกและผู้คนเป็นสีเทาไปโดยปริยาย คนที่เคยเห็นว่าเลวสิ้นดีเมื่อเวลาผ่านไปบางคนบางครั้งกลับเป็นคนดีอย่างหาใครเทียได้ยาก หรือบางคนที่แสนดีพอสบช่องสบโอกาสก็เลวจนหาที่ชมไม่ได้

ที่อาจจะแย่ที่สุดในประดามีก็คือมองตัวเองเป็นสีเทาไปด้วย ทำอะไรที่เลวร้ายไปกี่อย่างก็บอกกับตัวเองด้วยเสียงกระซิบว่าคนเราทีทั้งด้านดีด้านชั่ว พอวิชาแก่กล้าขึ้นก็ถึงขั้นตะโกนบอกโลกให้รู้ว่าข้าฯก็คนธรรมดา มีดีมีเลวตามประสา ทำไมไม่มองในเรื่องที่ดีบ้างหรือมองแต่เรื่องดีล้วนก็จะเยี่ยมมาก

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงจะรู้ว่างานนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจหรือธุรกิจโดยตรงแต่จะไปอิงแอบอยู่ใต้ชายคาของสังคมและการเมืองเป็นด้านหลัก เนื่องจากฉบับที่แล้วเป็นฉบับครบ 14 หรือ 15 ปีของนิตยสารฉบับนี้บอกตรงๆว่าจำกันไม่ค่อยได้หรอก เพราะที่นี่ไม่เคยมีธรรมเนียมจัดงานครบรอบเท่านั้นเท่านี้ปีของหนังสือในเครือ มีแต่จัดงานประจำปีให้พนักงานได้เฮฮาปาร์ตี้ หรือบางคนก็เลยเถิดไปถึงขั้นเฮฮาปามีดก็ต้องเชิญกลับไปปาต่อที่บ้าน ก็เลยอยากจะเขียนอะไรที่ต่างไปจากที่เคยเขียนบ้าง

ข่าวสารในทางสังคมที่จะยกขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่..เอ้อ..เอ้อ..พูดยากนะ คือเรื่องใหม่แก้ผ้าถ่ายรูป ขี้ยาฆ่าข่มขืนเด็ก 4 ขวบ พ่อฆ่าข่มขืนลูกสาวอายุ 4 ขวบเหมือนกัน เอาเป็นว่าทั้งสามเรื่องหรือสองหมวดใหญ่ต่างเกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดการโต้เถียงกันแทบทุกวงการ

ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือพวกขาวจัดดำจัดฟัดกับพวกสีเทา กรณีใหม่นั้นพวกขาวจัดก็ยืนกรานว่าการแก้ผ้าถ่ายรูปในสถานที่เร้นลับนั้นเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล เพื่อนไม่ควรเอามาให้ไทยรัฐตีพิมพ์ และไทยรัฐก็ไม่ควรตีพิมพ์พวกที่มองโลกดำจัดก็บอกว่าเป็นแผนโปรโมตตัวเองของใหม่ แต่เห็นด้วยที่ไทยรัฐไม่ควรตีพิมพ์เพราะหุ่นใหม่ไม่ดีเหมือนที่จินตนาการไว้ตอนที่ใส่เสื้อผ้าวับๆแวมๆ

พวกมองโลกสีเทาเป็นพวกที่ให้เหตุผลเยิ่นเย้อน่าเบื่อเป็นที่สุด พวกนี้จะเริ่มด้วยการวิเคราะห์ด้านจิตวิทยาของใหม่โดยไม่เคยร่ำเรียนและไม่เคยเจอหรือเคยพูดคุยกับใหม่มาก่อน จากนั้นก็วกมาเรื่องจริยธรรมหรือจรรยาบรรณของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่ามีปัญหา แต่มักจะอ้ำอึ้งเมื่อถูกพวกดำจัดถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าไทยรัฐเล่มนั้นขายดี...ก็ตอบว่าเชื่อ พวกดำจัดก็เลยสรุปว่าเพราะสังคมมันเลวชข่าวและรูปแบบนี้จึงขายได้

ยังดีที่พวกข่าวจัดมาช่วยไว้โดยบอกว่าคนที่ซื้ออ่านไม่ได้อยากดูรูปใหม่แก้ผ้าอย่างเดียวแต่เป็นการสนองตอบความอยากรู้อยากเห็นของคนในสังคมด้วย

“หนังสือเล่มนี้เอาไปขายในสถานที่เผยแพร่ศาสนายังขายได้เลย” ขาวจัดทิ้งท้าย

หมวดที่สองคือการฆ่าข่มขืนเด็ก อันนี้แบ่งพวกกันง่ายคือจะมีเฉพาะพวกขาวจัดกับดำจัดเท่านั้น กล่าวคือพวกดำจัดก็จะสวมหน้าดำของท่านเปาฯ ให้ลูกน้องร้องอึ่ง..อ่าง..แล้วโยนติ้วสั่งประหารทันทีที่ติดซาดิสต์หน่อยก็บอกว่าโทษประหารแม้จะใช้เครื่องประหารหัวตัวเงินตัวทองก็เบาไป น่าจะตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ให้ตายด้วยวิธีการต่างๆภายใน 10 วัน

พวกที่ขาวจัดก็มองว่าการใช้โทษประหารไม่ช่วยทำอะไรให้สังคมดีขึ้น นักกฎหมายบางคนถึงกับออกมาให้ความเห็นทางทีวีว่าหากกรณีแบบนี้ศาลสั่งประหารหมด ต่อไปคงไม่มีใครที่ทำผิดสารภาพ ซึ่งตกรอบแรกไปเพราะทั้งสองคดีไม่มีจำเลยรับสารภาพเลยจนกระทั่งจำนนด้วยพยานหลักฐาน

เข้าเรื่องการเมืองดีกว่าเพราะกำลังอยู่ในกระแส (ตอนที่เขียน) จากการอ่านการดูและฟังสื่อต่างๆสรุปว่ารัฐบาลที่นำโดยบรรหาร ศิลปอาชากำลังไร้น้ำยาอย่างสิ้นเชิงจนอาจจะต้องปรับใหญ่ ครม.หรือยุบสภาก็ตามแต่ คำถามที่ตอบได้ยากก็คือจะการปรับครม.ช่วยอะไรได้ไม่มาก ก็ต้องล้างไพ่ยุบสภาเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่และหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีศักยภาพสูงที่จะได้เป็นเสียงข้างมากในสภาก็หนีไม่พ้นชาติไทย ความหวังใหม่ ประชาธิปัตย์ ชาติพัฒนา

นั่นหมายความว่าหัวหน้าพรรคการเมืองเหล่านี้ไม่ว่าบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ชวน หลีกภัยและพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีสิทธิ์เป็นนายกฯ คำถามต่อมาก็คือจะมีอะไรแปลกใหม่กว่าทุกวันนี้

แก้รัฐธรรมนูญดูเหมือนจะเป็นทางออกของคนที่มองโลกสีขาว หลังจากแนวคิดเอาน้ำดีไปไล่น้ำเสียไม่ได้ผล แต่แนวคิดนี้ไม่ใช่จะสิ้นหวังหรอก จะต้องมองแบบสีดำด้วยนั่นคือนอกจากสนับสนุนให้คนดีเข้าสภาแล้ว ต้องยอมเสียใบเหลืองเพื่อเสียบพวกน้ำเสียไม่ให้เข้าสภา

คนดีมีเงินก็ไม่น้อยนะครับ แต่ไม่อยากจะเล่นการเมืองไม่อยากยุ่งเกี่ยวการเมือง และอาจจะลองสนับสนุนคนดีเข้าสภามาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ได้ผล เพราะคนดีไม่โจมตีคู่แข่งไม่สัญญาเพื่อจะไม่ทำตามสัญญา ไม่ซื้อเสียง ดังนั้นโอกาสจะหลุดเข้าไปในสภาจึงน้อยมาก

ลองอีกทางสิครับใช้เงินของท่านให้เป็นประโยชน์โดยการสาวไส้รัฐมนตรีหรือ ส.ส.ที่โกงกินออกมาตีแผ่อย่างเป็นรูปธรรม ให้รางวัลตำรวจที่จับได้ไม่เพียงแต่การซื้อเสียง แต่ทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย เปิดซ่อง คุมบ่อน ค้าของเถื่อน ค้ายาม้า ฯลฯ รวมทั้งขบวนการยุติธรรม ตั้งรางวัลมูลค่าสูงพอๆกับสมรักษ์ คำสิงห์ สำหรับข่าวที่ชนะเลิศการกระชากหน้ากากนักการเมืองยอดเยี่ยมและอย่าลืมคิดถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้คนเหล่านี้ด้วย จ้างเอเยนซีคิดคำทำโปสเตอร์ถล่มพวกน้ำเสียให้จมธรณีไปเลย การเอาเรื่องจริงมาเปิดเผยคนละเรื่องกับการใส่ร้ายป้ายสีนะครับ

ถ้าเกิดเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาบางทีสังคมนี้อาจจะไม่ต้องมองกันแบบขาวจัดดำจัดหรือสีเทา แต่อาจจะทอประกายเป็นสายรุ้งให้เห็นกันบ้าง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us