|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กรกฎาคม 2539
|
|
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกย่อมจะต้องเป็นตลาดใหญ่ที่สามารถรองรับสินค้าได้อย่างมหาศาล ทว่าจีนมิได้มีเพียงประชากรเท่านั้น หากยังมีชื่อในเรื่องความเติบโตด้านเศรษฐกิจว่ามีอัตราสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งด้วย
ความเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนอกจากจะมีปัจจัยเกื้อหนุนจากนโยบายสร้างความทันสมัยแล้ว ยังอาศัยเงินทุนจากภายนอกเข้ามาสนับสนุนด้วย ทางหนึ่งก็ด้วยการลงทุนโดยตรงและแนวทางล่าสุดที่จีนนำมาใช้ คือการระดมทุนผ่านการนำหุ้นของรัฐวิสาหกิจออกจำหน่ายให้แก่ประชาชนจีนเองและแก่นักลงทุนชาวต่างชาติ
การเปิดรับทุนต่างชาติ เริ่มขึ้นคึกคักเป็นจริงเป็นจังในปี ค.ศ. 1979 ภายหลังนโยบายเปิดประตูของเติ้งเสี่ยวผิง ทว่าผู้ที่เข้าไปลงทุนและดำเนินความสัมพันธ์กับจีนจากนานาประเทศนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็คือชาวจีนโพ้นทะเลที่มีบรรพบุรุษอยู่หรือเคยอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ ทุนจากแหล่งนี้น่าจะมีส่วนส่งเสริมแกมบังคับให้ต้องมีการดึงดูดทุนจากต่างชาติแท้ๆเข้ามาด้วย นั่นคือการระดมทุนจากหุ้น
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งการระดมทุนอีกทางหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลจีนมองเห็นว่าจะสามารถส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศจีนได้ รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ทำอย่างเดียวกับที่นานาประเทศในระบอบทุนนิยมทำกันคือให้รัฐวิสาหกิจต่างๆที่ต้องการเงินทุนมาปรับปรุงการผลิต ซื้อเครื่องจักร ซื้อเครื่องจักรฯลฯ ระดมทุนด้วยการออกหุ้นแล้วนำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทเอกชนที่เข้าไปเปิดกิจการทำธุรกิจอยู่ในจีนก็สามารถระดมทุนด้วยวิธีการนี้เช่นเดียวกัน
ตลาดหุ้นของจีนยุคคอมมิวนิสต์เริ่มต้นในทศวรรษที่ 1980 ด้วยความคึกคักตั้งแต่ก่อนที่จะมีการนำหุ้นออกขายแก่ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนจริงๆจนรัฐบาลจีนวิตกกังวล และมุ่งมั่นที่จะหาทางควบคุมความคึกคักนั้นเอาไว้ ให้เป็นไปตามแผนการพัฒนาของรัฐ
การก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น มีขึ้นในท่ามกลางสภาวการณ์ดังกล่าวมานี้
ธุรกิจการค้าหลักทรัพย์ในเซี่ยงไฮ้ปิดกิจการลงในปี 1949 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำศึกภายในประสบชัยชนะและเข้าบริหารประเทศตามแบบคอมมิวนิสต์ ตลาดหลักทรัพย์เปิดขึ้นเป็นคำรบสองในเดือนธันวาคมปี 1990 ในชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Securities Exchange) ซึ่งเรียกกันย่อยๆว่า เอสเอสอี (SSE) หลังจากนั้นไม่นานก็มีการเปิดตลาดขึ้นอีกแห่งหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตราวกับพายุคือ เซินเจิ้น
หลักทรัพย์ที่ค้าขายกันในตลาดของจีนแผ่นดินใหญ่มีอยู่สองประเภทคือหุ้น เอ. กับหุ้น บี. หุ้นเอ.นั้นสงวนไว้ให้กับนักลงทุนภายในประเทศโดยเฉพาะการซื้อขายก็ทำกันโดยใช้เงินสกุลหยวนของจีน ส่วนหุ้นบี. ค้าขายกันด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก สำหรับในเซี่ยงไฮ้ ส่วนในเซินเจิ้นใช้เงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกงเป็นหลัก การเปิดให้ค้าหุ้นกลุ่มบี. เริ่มต้นขึ้นก่อนกลุ่มเอ. ทั้งนี้ก็ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะดึงดูดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าจะหนักแน่นและคล่องตัวกว่าการระดมทุนภายใน และอาจจะด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่งว่า ประชาชนภายในประเทศยังไม่พร้อมสำหรับความเป็นทุนนิยมถึงระดับนี้
อย่างไรก็ตาม การค้าหุ้นทั้งประเภท เอ.และบี. ในปัจจุบันอยู่ในขั้นซบเซา
ทว่าความซบเซานี้ มิได้เป็นสภาพที่สืบเนื่องมาแต่ต้น สมัยรุ่งโรจน์ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1993 ดัชนีหุ้นกลุ่มเอ.เคยสูงถึง 1,640.71 ส่วนกลุ่มบี. ก็เคยสูงถึงระดับ 140.85 ในกลางปี 1992 ในขณะที่ปัจจุบันนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มเอ.มีค่าไม่ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของช่วงที่สูงที่สุด และกลุ่มบี. ในระยะนี้ ก็ลดลงมาเป็นประวัติการณ์เหลือเพียง 47.03
การอาศัยเงินระดมทุนจากหุ้นเทียบกันไม่ได้เลย จากเงินทุนในรูปของการลงทุนโดยตรง ซึ่งมีเงินสกุลแข็งหลั่งไหลเข้ามาในจีนมากกว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจถึง 30 เท่าตัว
ผู้สังเกตการณ์บางคนมองว่าสถานการณ์เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ของจีน ไม่อาจทำหน้าที่ตามเป้าประสงค์ในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลความเป็นคอมมิวนิสต์กับระบบราชการของจีนเอง แต่บางกระแสยืนยันว่า นี่คือลักษณะความเป็นไปที่ทางการจีนต้องการและจงใจสร้างภาวะนี้ขึ้น
อย่างไรก็ดีความเป็นคอมมิวนิสต์ก็ย่อมส่งเสริมระบบราชการในแบบที่ทำให้เกิดความล่าช้า สะดุดและถึงขั้นขัดขวางการดำเนินธุรกิจการค้าหลักทรัพย์โดยตรงอยู่เองแล้ว
อาทิ รัฐวิสาหกิจที่ต้องการนำหุ้นออกจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ จำจะต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานหลายหน่วย นอกเหนือจากคณะกรรมการนโยบายหลักทรัพย์แห่งรัฐ (State Council Securities Policy Committee) อันมีรองนายกรัฐมนตรี จูหยงจีเป็นประธานกับคณะกรรมาธิการกำกับความคุมการปฏิบัติตามระเบียบการค้าหลักทรัพย์ของจีน (China Securities Regulatory Commission)
การกลั่นกรองจากหน่วยงานต่างๆทำให้รัฐวิสาหกิจที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นได้ มีเฉพาะธุรกิจที่ล้าสมัย ไม่สู้จะมีกำไรเท่านั้น เรื่องนี้พอจะรับได้ หากว่าการเสนอขายหุ้น จะทำให้ได้เงินมาสำหรับซื้อเครื่องจักรและปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัยขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น ทว่าการณ์ดูจะไม่เป็นอย่างนั้น นิตยสารเอเชีย อิงค์. (Asia Inc.) รายงานว่า เงินทุน 21 ล้านดอลลาร์ที่ได้จากการนำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์โรงงานผลิตรถจักรยานฟอเรฟเวอร์ ไม่ได้นำมาซึ่งการขยายโรงงานหรือซื้อเครื่องจักรตามที่กำหนดไว้ ผู้สื่อข่าวของเอเชีย อิงค์.กล่าวถึงขั้นว่าสิ่งใหม่อย่างเดียวที่ได้พบในโรงงานฟอเรฟเวอร์หลังจากที่ได้เงินทุนเข้ามามีเพียงรถยนต์บูอิคคันงามสำหรับผู้บริหารเท่านั้น
ในกรณีนี้ มีผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นว่า มีสาเหตุมาจากผู้บริหารความขาดแรงจูงใจในการทำงานหรือทำให้ธุรกิจมีกำไรทั้งนี้เพราะค่าจ้างเงินเดือนของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ (รวมทั้งวิสาหกิจที่ได้รับอนุญาตให้ระดมทุนด้วยการนำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์) ไม่เกี่ยวข้องกับผลประกอบการ
ในกรณีของโรงงานจักรยานฟอเรฟเวอร์ก็ปรากฏว่า ราคาหุ้นประเภทบี.ของบริษัทนี้ ลดลงเหลือ 34 เซ็นต์จากที่เคยสูงถึง 70 เซ็นต์ในเดือนมกราคมปี 1994 ในชั่วเวลาเพียง 9 เดือนและในปัจจุบันนี้ราคาหุ้นกลั้วเกลี้ยอยู่ในระดับ 13 ถึง 16 เซ็นต์เท่านั้น
ในบรรดาบริษัททั้ง 36 บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ระดมทุนด้วยการออกหุ้นบี. ในเอสเอสอี ขณะนี้มีถึง 30 บริษัทที่ราคาหุ้นร่วงรูดในทำนองเดียวกับบริษัทฟอเรฟเวอร์
การบริหารเงินอย่างไม่ถูกต้องของหน่วยธุรกิจที่ระดมทุนมาได้ ในอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในหมู่ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจของจีน คือนำเงินไปใช้อย่างง่ายๆไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ทว่าผิตวัตถุประสงค์เป็นต้นว่านำไปให้รัฐวิสาหกิจอื่น (ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้นำหุ้นออกเสนอขาย) กู้ยืม แม้ว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง แต่ก็มิได้ทำให้วิสาหกิจของตนเองเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างที่ควร นอกจากนั้นยังอาจถือว่าเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยงด้วย
การนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปทำธุรกิจเสี่ยงๆ ยังมีอีกแบบหนึ่งนั่นคือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นต้นว่าร่วมทุนการสร้างอาคารโรงแรมฯลฯ ซึ่งอาจมองได้อีกอย่างหนึ่งว่า นี่เป็นการเก็งกำไรจากอสังหาริมทรัพย์
บริษัทเซี่ยงไฮ แว็คคัม อีเล็คทรอน ดีไวซ์ (Shainghai Vacuum Electron Device Co.) เป็นบริษัทจีนบริษัทแรกที่ได้รับอนุญาตให้นำหุ้นประเภทบี.ออกขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ ทำให้ได้เงินจากการระดมทุนมาถึง 67 ล้านดอลลาร์ เปอร์เซ็นต์ของเงินจำนวนนี้ ถูกนำไปใช้ลงทุนร่วมกับบริษัทฮ่องกง สร้างอาคารสำนักงานและโรงแรม ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ตามที่ได้แถลงไว้ เมื่อนำหุ้นออกสู่ตลาด
อนึ่ง ระเบียบที่ซับซ้อนและชวนให้สับสนก็มีผลให้บริษัทเอกชนที่เข้าไปลงทุนในจีนไม่สามารถระดมทุนด้วยการนำหุ้นออกเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ได้นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นในจีนไม่คึกคักอย่างที่ควร
สาเหตุอีกอย่างหนึ่งของความซบเซาในการค้าหุ้นประเภทบี. ในทัศนะของผู้สื่อข่าวของนิตยสาร Fareastern Economic Review ก็คือ นักลงทุนชาวต่างชาติมีโอกาสลงทุนในประเทศจีนด้วยการซื้อหุ้นประเภทเอช. (H) รวมทั้งหุ้นที่เรียกกันว่า “เรดชิป” (Red chip) ในฮ่องกงกับหุ้นของธุรกิจร่วมหุ้น (Joint venture) ระหว่างจีนกับประเทศอื่นซึ่งนำออกขายในตลาดหุ้นในนิวยอร์ค
หุ้นประเภทเอช.คือหุ้นของรัฐวิสาหกิจของจีน ซึ่งนำออกเสนอขายในตลาดหุ้นฮ่องกงหุ้นที่จัดอยู่ในประเภทเอช.มีอยู่ 3 ตัวเป็นหุ้นของ 3 รัฐวิสาหกิจจีน
หุ้น “เรดชิป” คือหุ้นของธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่บนจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นำออกขายในตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง
สำหรับความซบเซาของการค้าหุ้นประเภทเอ.นั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเหตุผลสำคัญเป็นเพราะมีการออกหุ้นมากเกินไป โดยที่มีอีกหลายสิบบริษัทกระตือรือร้นที่จะหาเงินอย่างง่ายๆด้วยการออกหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีนสร้างความคึกคักตื่นตัวให้กับทั้งชาวจีนและนักลงทุนชาวต่างประเทศอย่างมากในระยะแรกเริ่มที่เปิดตลาด ความซบเซาที่เกิดขึ้นในลำดับถัดมา อาจมองได้ว่าเป็นธรรมชาติของการค้าหลักทรัพย์แต่ในขณะเดียวกัน ตลาดค้าหลักทรัพย์ของจีนก็เป็นสิ่งที่เพิ่งเริ่มต้นและยังต้องมีการปรับปรุงแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องการทำผิดหลักเกณฑ์ ซึ่งต้องมีการป้องกันและลงโทษอย่างจริงจัง ประธานคณะกรรมการกำกับควบคุมการปฏิบัติตามระเบียบการค้าหลักทรัพย์ของจีน คือโจวต่างจุงได้ประกาศให้สัญญาเมื่อตอนต้นปีนี้ว่า จะขวนขวายพยายามปรับการปฏิบัติงานในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้มาตรฐาน โดยที่จะมีการฝึกฝนเทรดเดอร์และปรับปรุงคุณภาพการบริหารให้ดีขึ้น
คำสัญญาของโจวต่างจุงปรากฏผลออกมาแล้วในรูปแบบที่นักลงทุนมิได้ชื่นชมมากนัก นั่นคือการเลื่อนเวลาการนำหุ้นใหม่ของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ที่ได้รับอนุญาตให้ระดมทุนด้วยการออกหุ้นออกจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ออกไปเป็นปีหน้า
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าการดำเนินงานในด้านอื่นๆตามคำสัญญาของโจวต่างจุงจะไม่เกิดผลในเร็ววันนักและเห็นว่าการปฏิบัติตามคำแนะนำของธนาคารโลก (World Bank) จะส่งผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็ว นั่นคือการทำตามอย่างเกาหลีใต้และไต้หวันเลิกแบ่งประเภทหุ้นเป็นกลุ่มเอ.และบี. หากให้นักลงทุนชาวต่างชาติ สามารถเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดได้โดยตรงโดยที่มีการจำกัดปริมาณการถือหุ้นของชาวต่างชาติเอาไว้ในสัดส่วนที่กำหนด
การทำเช่นนี้ นอกจากจะทำให้ชาติสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นแล้ว ยังจะสร้างความคึกคักให้แก่นักลงทุนภายในประเทศเอง รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่จะสนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กันมากขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า รัฐบาลจีนจงใจสร้างความซบเซาให้กับตลาดหลักทรัพย์ของจีน ด้วยเจตนาที่จะชะลอความเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งสูงเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ติดต่อกันมาหลายปีจนนักเศรษฐศาสตร์พากันกังวล นอกจากนี้ การโอนการปกครองของฮ่องกงเข้ามาอยู่ในอาณัติของจีนแผ่นดินใหญ่ในปีหน้ายังเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาวะทางเศรษฐกิจและการเมืองในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของเงินทุนและข่าวสารรัฐบาลจีนจึงชิงกำกับกำราบเอาไว้พลางก่อน
ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้นำ
|
|
|
|
|