|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤษภาคม 2539
|
|
เดือนนี้ คงเป็นเดือนที่กรุงเทพฯร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีและที่สำคัญเป็นช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพฯอีกเป็นสมัยที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2538
ความร้อนของกรุงเทพฯที่มาจากอากาศและการหาเสียงเลือกตั้ง ว่ากันจริงผมมองว่ามาจากเหตุอันเดียวกัน การเลือกตั้งเป็นสิ่งบอกเหตุถึงอนาคตของเมืองหลวงแห่งนี้ที่จะให้คำตอบกับเราว่าเป็นกระบวนการทางการบริหารที่จะแก้ปัญหาความร้อนที่ผิดปกติอยู่เรื่อยๆของกรุงเทพฯหรือไม่
ผมใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้มากว่า 20 ปี ทำให้ผมมองเห็นอาการผิดปกตินี้ชัดเจน จำได้ว่าความร้อนเมื่อสมัย 20 ปีก่อนไม่ได้มากมายเท่านี้และก็เชื่อว่าในปีหน้า ความร้อนก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีนี้ ขณะเดียวกันความหนาวเย็นเมื่อถึงช่วงฤดูกาลของมันก็จะมีระยะเวลาสั้นลงไปเรื่อยๆจนไม่มีเลย
ผมแน่ใจว่า ผู้คนชาวกรุงเทพฯส่วนใหญ่รับรู้ถึงชะตากรรมของอากาศในกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว เหตุนี้จึงมักจะพูดเชิงเสียดสีให้กับเพื่อนของตนที่มาจากต่างถิ่นไปในทำนองว่า กรุงเทพมันไม่มีหน้าหนาว แต่มันมีเพียง 2 ฤดูเท่านั้นคือ “ร้อนกับโคตรร้อน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่เชื่อว่าเหตุที่กรุงเทพฯมีปรากฏการณ์ทางด้านฤดูกาลเหลือเพียงร้อนกับโคตรร้อนเป็นเรื่องของธรรมชาติเพราะในเมืองหลวงของประเทศในภูมิภาคเดียวกับเราไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ ความร้อนในช่วงฤดูร้อนของเขาก็ไม่ร้อนเหมือนของเราและที่สำคัญเมื่อถึงฤดูหนาวก็มีมาตามปกติ
เช่นนี้แล้ว การที่กรุงเทพฯประสบกับชะตากรรมความร้อนผิดปกติอย่างต่อเนื่องจึงมีปฏิสัมพันธ์กับระบบการจัดการเมืองอย่างแน่นอน
คนทั่วโลกต่างรับรู้กันมาแล้วว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงที่อมโรคอยู่หลายโรค จราจรที่ติดขัดมากที่สุดในโลก มลพิษทางอากาศที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มาตรฐานความปลอดภัยทางสาธารณูปโภคที่ยังไม่ได้มาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นระบบการขนส่งมวลชน คุณภาพการจัดส่งน้ำประปาและที่สำคัญมีความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทางด้านภูมิทัศน์ของเมือง
พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ กรุงเทพฯได้ล่มสบายทางกายภาพไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังส่งผลกระทบที่เลวร้ายลงเรื่อยๆต่อมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ
เหตุนี้ ประเด็นก็คือว่ากรุงเทพฯซึ่งมีการเลือกตั้งผู้ปกครองตนเองมาแล้วถึง 3 สมัยมีเงินทุนในคลังของกรุงเทพมหานครมากถึงไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาทและมีคณะผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถเป็นคนดีตามมาตรฐานทางศีลธรรมไม่โกงไม่กิน
แต่ทำไมตลอด 10 ปีที่ผ่านมา กายภาพกรุงเทพฯมีแต่เสื่อมทรุดจนล่มสลายไปแล้วและมาตรฐานคุณภาพชีวิตเลวร้ายลงเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็น
แสดงว่าโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับกรุงเทพฯเวลานี้ มันลงลึกมากเกินกว่าที่จะอาศัยคณะผู้บริหารที่มีความดีในกรอบมาตรฐานทางศีลธรรมไปแล้วและขณะเดียวกันที่สำคัญกว่านั้นมันกำลังสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นอิสระครึ่งๆกลางๆทางอำนาจการจัดการของกรุงเทพฯที่เสมือนหนึ่งมีอำนาจอิสระจัดการเพียงแค่ระดับรัศมีไม่เกินฟุตบาธหรือทางเดินเท้าเท่านั้น
น่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวโยงกับการล่มสลายทางกายภาพและคุณภาพชีวิตของคนในฐานะเป็นเหตุหนึ่ง
หน่วยงานราชการที่มีอำนาจครอบงำระบบกรุงเทพฯทั้งระบบคือกระทรวงมหาดไทย กลไกของรัฐบาลกลางที่อื้อฉาวที่สุด อนุรักษ์นิยมที่สุด
จริงอยู่ตลอด 23 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2516 ช่วงปลายสมัยรัฐบาลเผด็จการถนอม-ประภาส กรุงเทพฯถูกแยกออกเป็นจังหวัดพิเศษแต่นับตั้งแต่ปี 2516 ถึง 2527 เป็นเวลานับสิบปี ผู้ว่าการกรุงเทพฯก็เป็นคนที่มาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรีมหาดไทยแทบทั้งสิ้นจะมีสลับฉากมาจากการเลือกตั้งบ้างก็ครั้งเดียวและเป็นช่วงสั้นๆมากไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำคือปี 2518 สมัยนายธรรมนูญ เทียนเงินแห่งพรรคประชาธิปัตย์
ผู้ว่าการกรุงเทพฯส่วนใหญ่ที่มาจากการแต่งตั้งของรัฐมนตรีมหาดไทยจะมาจากข้าราชการระดับปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ก็อธิบดีกรมการปกครองเช่น นายชำนาญ ยุวบูรณ์, นายอาษา เมฆสวรรค์, นายชลอ ธรรมศิริ
ในช่วงสมัย 20 ปีก่อน กรุงเทพฯมีประชากรไม่เกิน 4 ล้านคน เคยมีนักวางแผนเมืองผู้มีชื่อเสียงและเชี่ยวชาญทั้งจากญี่ปุ่นและยุโรปหลายท่านได้เข้ามาทำการศึกษาวางแผนและวางผังทางกายภาพของเมืองไว้ แต่ด้วยการขาดวิสัยทัศน์และไร้ขีดความสามารถสูงพอของหน่วยงานที่ควบคุมดูแลกรุงเทพฯข้อเสนอพัฒนาทางกายภาพกรุงเทพฯอย่างมีแบบแผนที่ได้มาตรฐานสากลได้ถูกละเลย
ผู้เชี่ยวชาญทางกายภาพของเมืองหลายท่านเห็นตรงกันว่าถ้าหากกรุงเทพฯได้รับการพัฒนาอย่างมีแบบแผนตามข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ 20 ปีก่อน การล่มสลายทางกายภาพและการตกต่ำในมาตรฐานคุณภาพชีวิตอย่างที่เราประสบชะตากรรมอยู่เวลานี้ก็จะไม่รุนแรงหรือไม่อาจเกิดขึ้นเลย
มาถึงตรงนี้ผมจึงขอฟันธงทางอนาคตของกรุงเทพฯยุคต้อนรับปี 2000 เลยว่าโรคร้ายของกรุงเทพฯจะไม่บรรเทาลงหากกรุงเทพฯไม่สามารถปลดเงื่อนไขพันธนาการทุกด้านที่ครอบงำจากกระทรวงมหาดไทยลง
|
|
|
|
|