|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ มกราคม 2539
|
 |
ศูนย์กลางการเงินของฮ่องกงเต็มไปด้วยธนาคารระดับบิ๊กๆอย่างเช่นฮ่องกง แอนด์ เซี่ยงไฮ้ แบงกิ้งคอร์ปซึ่งมีสินทรัพย์มูลค่าสูงถึง 344 ล้านดอลลาร์ตั้งประชันหน้ากับสำนักงานประจำภูมิภาคของธนาคารข้ามชาติอีกหลายๆเจ้า ฟาดฟันแย่งชิงกลุ่มลูกค้าระดับบริษัทที่กระจัดกระจายผุดอยู่ทั่วเกาะ
แต่เจซีจี โฮลดิ้งส์ กลับมียุทธศาสตร์ที่ต่างออกไปตลาดของแบงก์ขนาดเล็กแห่งนี้คือลูกค้าที่มีรายได้แค่ 2,000 ดอลลาร์ต่อเดือน ถึงจะฟังดูเหมือนกับรายได้น้อยเสียเหลือเกิน แต่ต้องลองหลับตานึกดูใหม่ว่าลูกค้าของเจซีจีจะมีไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน หรือ 80% ของแรงงานบนเกาะฮ่องกงทั้งหมด
อัตราการให้กู้ยืมของเจซีจีไล่ตั้งแต่ 2,000 ถึง 3,200 ดอลลาร์กำหนดระยะเวลา 12 เดือนผู้ยืมจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเต็มจำนวนขณะเดียวกับที่ผ่อนเงินต้นแต่ละเดือน ดังนั้นแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดจะเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 1% ต่อเดือนจนถึง 2.3% อัตราดอกเบี้ยคิดทบต้นทบดอกรวมสูงกว่า 2.5% ต่อเดือนหรือเกิน 30% ต่อปีซึ่งจะสูงกว่าค่าธรรมเนียม 24% ต่อปีที่บริษัทบัตรเครดิตในท้องถิ่นเรียกเก็บและในทางกลับกันเจซีจีจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ฝากประจำอย่างน้อย 3 เดือนในอัตรา 6.5%
จึงไม่น่าประหลาดใจที่ผลตอบแทนในรูปสินทรัพย์ของเจซีจีจะขึ้นถึง 12% ในปีนี้เทียบกับอัตราเฉลี่ยของธนาคารท้องถิ่นที่ได้ 2% ขณะที่ในสหรัฐฯสินทรัพย์รวม 1.5% ก็นับว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงมากแล้ว
ลูกค้าทั่วๆไปของเจซีจีจะเป็นชายชาวจีน อายุระหว่าง 25 ถึง 45 ปีทำงานในโรงงานหรือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของรัฐบาล ตลอดจนถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนใช้ชาวฟิลิปินโนในฮ่องกงซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 12% ของลูกค้าที่กู้ยืมเงินของธนาคาร เจซีจีจะใช้วิธีเก็บพาสปอร์ตของสาวใช้เหล่านี้ไว้เป็นประกันซึ่งนับเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายท้องถิ่น
เจซีจี หรือ “เจแปน เครดิต การันตี” เดิมเป็นของนักธุรกิจเชื้อสายญี่ปุ่น-ไต้หวันขายต่อให้แก่ “พับลิค แบงก์เบอร์ฮาร์ด” ของมาเลเซียซึ่งบริหารโดยนักธุรกิจเต๊ะห์ ฮงเปียวในปี 1990 ในราคาเพียง 22 ล้านดอลลาร์
ปัจจุบันพับลิก แบงก์ถือหุ้นอยู่ 49% ส่วนที่เหลือนำออกจำหน่ายในตลาด ทั้งนี้นับตั้งแต่ที่พับลิก แบงก์จดทะเบียนเจซีจีในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในปี 1991 ธุรกิจแห่งนี้กำไรสุทธิรวมแล้วถึง 48% ต่อปีและจะพุ่งขึ้น 30% ในปีนี้รวมได้ 34 ล้านดอลลาร์ขณะที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าและหุ้นทั้งหมดของบริษัทมีมูลค่าถึง 255 ล้านดอลลาร์
ช่วงที่ธนาคารของมาเลเซียเข้ามาซื้อกิจการนั้น เจซีจีมีสาขาถึง 30 แห่งทั่วฮ่องกงแต่ภาพพจน์ของเจซีจีไม่เป็นที่น่าชื่นชมนัก สภาพแต่ละสาขาดูทรุดโทรมเหมือนกับโรงรับจำนำ ซ้ำยังไม่หลบขึ้นไปอยู่ชั้นบนอาคารเพื่อประหยัดค่าเช่าที่อีกต่างหาก
ไหล คิม เหลียง ผู้อำนวยการเจซีจีและซีอีโอของพับลิค แบงก์ในฮ่องกงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่เจซีจีอย่างรวดเร็ว ปลดผ้าม่านเก่าสกปรกและไฟสลัวมัวซัวออกจนหมดติดกระจกหน้าร้านทำเคาน์เตอร์หินอ่อนและโครงสแตนเลสใหม่ เจซีจีเริ่มโหมโฆษณาอย่างหนักทางวิทยุ หนังสือพิมพ์รายวันและในสถานีรถไฟใต้ดินและรถประจำทาง ทั้งยังติดตั้งคอมพิวเตอร์เพื่อให้การทำงานที่รวดเร็วแต่กว้างขวางในการตรวจสอบเครดิตและการอ้างอิง
การให้กู้ยืมเงินมีกฎง่ายๆผู้ยืมครั้งแรกสามารถก็ได้ 1.5 ถึง 2 เท่าของเงินเดือน ลูกค้าที่ได้รับการยอมรับจะสามารถเพิ่มเพดานเงินกู้ได้ถึง 5 เท่าที่สะดวกคือลูกค้าของเจซีจีจะได้รับเงินสดภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเทียบกับลูกค้าธนาคารพาณิชย์ของฮ่องกงซึ่งต้องใช้เวลาถึง 2 วัน
ต่อคำถามถึงหนี้สูญนับเป็นตัวเลขที่ต่ำมากจนน่าประหลาดใจ อัตราหนี้สูญอยู่ราวๆ 1.50% ถึง 1.85% ในช่วง 5 ปีที่แล้ว สูงกว่าแบงก์พาณิชย์แต่ต่ำกว่าธุรกิจเครดิตการ์ด
ไหลคิดว่าการจับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำจะเสี่ยงน้อยกว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเทียบกับลูกค้าที่มีรายได้สูงที่อาจจะใช้บริการธนาคารที่ไหนก็ได้
“คนรายได้น้อยอยู่เต็มฮ่องกง ขณะที่คนที่รวยกว่าอาจจะอพยพไปยังแคนาดาหรือออสเตรเลีย” เขากล่าวไปถึงกำหนดการส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่ในปี 1997 นอกจากนี้เขายังแสนจะสบายใจกับข้อเท็จจริงที่ว่ากว่าครึ่งของลูกค้าของเขาอาศัยอยู่ในบ้านของการเคหะ
“หากเขาอยู่ในบ้านการเคหะ เรารู้สึกพอใจว่าเขาจะไม่มีทางหายไปไหนได้เพราะเขามีค่าใช้จ่ายเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของราคาค่าเช่าในตลาด”
ธุรกิจให้กู้เงินของเจซีจีขยายตัวจนน่าแปลกใจเติบโตกว่า 30% ในปีนี้เนื่องจากขนาดการให้กู้ขึ้นอยู่กับเงินเดือนปริมาณการกู้ยืมเงินจึงเติบโตแปรผันตรงกับอัตราค่าจ้างในฮ่องกงคือกว่า 10% ต่อปีและเมื่อลูกค้าจำนวนมากกลายเป็นลูกค้าประจำ ขนาดวงเงินกู้สูงสุดของก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ธนาคารเพื่อประชาชนชั้นล่างแบบนี้จะอยู่รอดจากการเทคโอเวอร์หรือไม่? ล่าสุดราคาหุ้นเทรดในตลาดของเจซีจีอยู่ที่หุ้นละ 5.75 ดอลลาร์ฮ่องกงได้กำไร 12 เท่าและกำไรกว่า 3% แต่ยังเป็นราคาที่ต่ำสำหรับบริษัทที่มีการเติบโตและทำกำไรได้ในขนาดนี้ อย่างไรก็ตามเฉพาะแค่ผลการดำเนินกิจ
การที่ผ่านมา เจซีจีได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบริษัทขนาดเล็กยอดเยี่ยมจากนิตยสารฟอร์บส์ไปเรียบร้อย
|
|
 |
|
|