ก่อนอื่น ต้องขออภัยผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วย ที่หายหน้าไปหนึ่งฉบับ เนื่องจากติดขัดในเรื่องของเวลา ขณะนี้ผู้เขียนกลับมาเยือนบ้านที่เมืองไทยเป็นเวลา 2 เดือน แต่เมื่อฉบับนี้วางแผง ผู้เขียนก็คงกลับไปอเมริกาแล้ว... การกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ ผู้เขียนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งจากตัวของผู้เขียนเอง และเมืองกรุงเทพฯ ของเรา เริ่มจากตัวผู้เขียนเองที่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า เมื่อวัยเริ่มมากขึ้น การปรับตัวต่อวัน เวลา และสิ่งแวดล้อมก็เริ่มช้าลง เหนื่อยล้ามากขึ้น...
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพฯ ที่เห็นได้ชัด คือ รถยนต์มากขึ้น รถแท็กซี่มากขึ้น และส่วนใหญ่ขับกันแบบตามใจฉัน นึกจะเปลี่ยนเลนก็เปลี่ยน นึกจะปาดหน้าก็ปาด แบบไม่มีการให้สัญญาณใดๆ และส่วนใหญ่ก็เป็นรถใหม่ๆ ทั้งนั้น เลยอดนึกเล่นๆ ไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้รถยนต์รุ่นใหม่เขาคงไม่ติดไฟเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาให้แล้ว เพื่อเป็น การประหยัดน้ำมันที่ขึ้นเอาๆ แบบน่าใจหายว่า คนไทยจะอยู่กันได้อย่างไร แต่แล้วก็ถึงบางอ้อว่า เดี๋ยวนี้คนไทยอยู่กันด้วยบัตรพลาสติกกับตู้เงินด่วน... พูดถึงถนนในกรุงเทพฯ อีกอย่างที่พบมากขึ้นคือ เด็กและผู้ใหญ่ขายพวงมาลัยตามสี่แยกไฟแดงเยอะมากขึ้น หลังจากที่เบาบางไปนาน โดยเฉพาะบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์... อีกอย่างที่เห็นว่ามีมากขึ้นคือ ประชากรยุง ต้องบอกว่าทุกที่ที่ไปมียุง แม้แต่ในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารแอร์ฉ่ำๆ ยังมียุง... เท่านี้ยังไม่พอ เกือบทุกห้างในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านสยามเซ็นเตอร์ พร้อมใจกันปิดบางส่วนเพื่อปรับปรุง จะปิดทุกส่วนเลยก็ไม่ได้เพราะจะขาดรายได้เลย ปิดเป็นส่วนๆ... คนชอบเดินห้างเลยได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เรียกว่า มาไม่ถูกเวลา... แหม บ่นมากไปหน่อยขอเข้าเรื่องดีกว่านะคะ
กลับมาเมืองไทยรอบนี้หนังเรื่องแรกที่ได้ชมคือ Star Wars : Revenge of the Sith ต้องขอปรบมือให้ George Lucas ว่าปิดฉาก Star Wars ได้อย่างมีคุณค่าได้ทั้งปรัชญาและความบันเทิง... ดั่งคำกล่าวของโยดาที่ยังก้องสะท้อนหลักธรรมที่ช่วยให้จิตใจเย็นลงได้บ้างคือ "Fear is the path of the dark side. Fear leads to anger. Anger leads to hate. Hate leads to suffering."
วันนี้ด้วยวัย 60 ปี George Lucas รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่วันแรกของ Star Wars เมื่อ 28 ปีที่แล้ว ซึ่งตามปกติในช่วงเวลานี้เขาต้องเคร่งเครียด วิตกกังวลกับภาคต่อไปของ Star Wars แต่วันนี้เขาได้ปิด ฉากมหากาพย์อมตะเรื่องนี้อย่างสวยงาม ซึ่งภาคนี้เป็นการเติมเต็มที่สมบูรณ์ของมหากาพย์ Star Wars ครบทั้ง 6 ภาค แล้ว โดยภาคนี้เป็นภาคที่ Lucas ภูมิใจมากที่สุด และภาคนี้เป็นภาคแรกและภาคเดียวที่เรต PG 13 เนื่องจากมีฉากการสู้รบ การใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา และสามารถ กล่าวได้ว่า ไดอะล็อกบางส่วนของ Revenge of the Sith เป็นการสะท้อนภาพการเมืองปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาได้อย่างถึงพริกถึงขิง เช่น ในตอนที่อนาคินเริ่มหันเข้าสู่ด้านมืด เพื่อแสวงหาอำนาจ โดยใช้ความรักมาเป็นข้ออ้าง... เขาได้กล่าวกับโอบีวัน ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา Jedi ผู้ที่รักเขาเสมือนน้องชายคลานตามกันมาว่า "If you're not with me, you're my enemy." ถือเป็นถ้อยคำที่รุนแรง และให้ความรู้สึกด้านลบต่อบุคคลที่มีบุญคุณมาก ยิ่งกว่านั้น คนที่คุ้นเคยกับการเมืองอเมริกันดี จะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ดีว่าเป็นการสะท้อนหัวใจหลักในการบริหารการเมืองระหว่างประเทศของผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน คือ ถ้าไม่เข้ามาสนับสนุนเป็นพวกเดียวกันก็จะถือว่าเป็นศัตรู คือเป็นแนวคิดที่มีแต่สีขาวกับสีดำเท่านั้น ไม่มีสีเทา หรือขาวขุ่นเลย... แต่อย่าลืมว่า ตอนจบของ Star Wars ในภาค Return of the Jedi นั้นพิสูจน์แล้วว่าในที่สุด "ธรรมย่อมชนะอธรรม"
ณ Skywalker Ranch ใน San Rafael กำลังจะกลายเป็นตำนาน หลังจากที่ Lucas จะเคลื่อนย้ายกำลังพล ส่วนหนึ่งของเขาเข้าสู่ Letterman Digital Art Center ที่ตั้งอาณาจักรใหม่ในซานฟรานซิสโก ซึ่งจะเป็นบ้านหลังใหม่ ของ Lucasfilm ที่ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1971 Industrial Light & Magic (1975) Skywalker Sound (1977) และLucasArts (1982) และศูนย์นี้จะกลายเป็นแหล่งผลิตผลงาน เอฟเฟกต์ของเกมและภาพยนตร์ชิ้นใหม่แห่งอนาคต กำลัง จะแล้วเสร็จในเดือนหน้านี้ พนักงานจำนวน 1,500 คน จะย้ายเข้าไปสู่ Letterman Digital Art Center ออฟฟิศที่มีขนาดใหญ่ถึง 850,000 ตารางฟุต มูลค่าลงทุนสูงถึง 350 ล้านเหรียญ ภายในประกอบด้วยอาคาร 4 ส่วนด้วยกัน
ส่วนแรกเป็นอาคาร Gaming & Effects เป็นศูนย์ข้อมูลและสถานที่ทำงานของทีม LucasArts มีกำลังรองรับ processors จำนวน 14,000 processors โดยสามารถรองรับ การถ่ายเทข้อมูลได้สูงถึงวันละ 1,000 terabytes นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของ Media Data Center ในการ edit เกมและภาพยนตร์ ในห้อง Digital Editing Suites มีศูนย์ฝึกอบรมสำหรับนักออกแบบในการเรียนรู้ใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์ใหม่ๆ มี Image Capture Studio มีห้อง Scanning & Recording และมีฟิตเนสไว้เอาใจพนักงานด้วย
อาคารส่วนที่ 2 คือ Film & Effects มีออฟฟิศสำหรับ Lucasfilm Marketing, Licensing และ Online ventures รวมทั้งยังเป็นที่ทำงานของทีมงาน Industrial Light & Magic ด้วย และในอาคารนี้จะมีโรงหนังไฮเทคขนาด 350 ที่นั่ง และมีศูนย์ดูแลเด็กและสนามเด็กเล่นไว้ให้บริการแก่ลูกหลานของพนักงานด้วย
อาคารส่วนที่ 3 คือ Film & Tenant Space เป็นที่ทำงานของทีมงาน LucasFilm Corporation และมีคอฟฟี่ ชอปที่เปิดบริการแก่สาธารณะด้วย และอาคารส่วนที่ 4 เป็นพื้นที่ให้เช่าจำนวน 170,000 ตารางฟุต และมีร้านอาหารเปิดให้บริการแก่สาธารณะด้วย
นอกจากนั้น พื้นที่ภายนอกยังเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบโดย Lawrence Halpin นักออกแบบจัดสวน เจ้าของผลงาน Franklin Delano Roosevelt memorial ใน Washington D.C. และเป็นคนเดียวที่ออกแบบบูรณะ Ghirardelli Square ในซานฟรานซิสโก และยังมีพื้นที่จอดรถใต้ดินจำนวน 1,500 คัน และมีศูนย์ Backup Power รองรับเหตุไฟฟ้าขัดข้องฉุกเฉิน
บ้านหลังใหม่ของ George Lucas แห่งนี้จะเป็นที่ที่เขาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เริ่มตั้งแต่งาน executive-producing ภาพยนตร์เรื่อง Red Tails ซึ่งเป็นเรื่องราวของนักบินรบผิวดำที่รู้จักในนามของ Tuskegee Airmen ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทัพอากาศสหรัฐฯ แต่อาสาเขารบในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยสามารถปฏิบัติการ สำเร็จถึง 1,500 เที่ยวบิน โดยไม่สูญเสียเครื่องบินแม้แต่ลำเดียว
งานที่ 2 ของ Lucas คือทำภาคที่ 4 ของ Indiana Jones ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นเจรจาและเซ็นสัญญาร่วมกับ Steven Spielberg และ Harrison Ford
งานที่ 3 ยังคงเกี่ยวข้องกับ Star Wars คือภาพยนตร์ ทีวีอีก 2 ชุดที่กำลังถ่ายทำ และการ์ตูนชุด Clone Wars และเขายังดูแลห่างๆ ในการทำหนัง Animation 3-D ทั้ง 6 ภาคของ Star Wars อีกด้วย
งานที่ 4 เป็นการทำภาพยนตร์ DVD สารคดีเรื่อง The Young Indiana Jones Chronicles
นอกจากนี้เขายังมีแผนที่จะทำหนังชุดทีวี 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับอนาคต และอีกเรื่องเกี่ยวกับสื่อ ซึ่งเขาคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะได้ออกอากาศ เพราะเป็นเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์อาจจะกระทบกระทั่งบุคคลผู้มีอำนาจทั้งหลาย...
แม้ว่า Lucas จะใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตทุ่มเทให้กับ Star Wars แต่เขายังไม่หมดพลังและไฟที่จะสร้างสรรค์ ผลงานใหม่ๆ ในอนาคตให้แฟนๆ ได้ติดตามกัน ต่อไป สมกับเป็น The Man Behind the Force
|